คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2016/2542

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ตุลาการรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า พระราชกำหนดมีผลใช้บังคับเป็นกฎหมายเช่นเดียวกับพระราชบัญญัติดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 172 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2534การที่สภาผู้แทนราษฎรไม่อนุมัติพระราชกำหนดนิรโทษกรรมฉบับนี้ ไม่มีผลกระทบกระเทือนถึงผู้ซึ่งพระราชกำหนดบัญญัติให้พ้นจากความผิดและความรับผิดไปแล้วไม่ว่าบุคคลนั้นจะถูกร้องทุกข์ ถูกกล่าวโทษ หรือถูกดำเนินคดีตามกฎหมายแล้วหรือไม่ก็ตาม คำวินิจฉัยของคณะตุลาการรัฐธรรมนูญดังกล่าวย่อมเป็นเด็ดขาดตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2534 มาตรา 209 และมีผลผูกพันศาลยุติธรรมตามรัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 มาตรา 268 โจทก์ทั้งสามสิบเก้า ซึ่งเป็นญาติผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ชุมนุมดังกล่าว จึงไม่มีอำนาจฟ้อง

ย่อยาว

โจทก์ทั้งห้าสำนวนฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า จำเลยที่ 1เป็นหน่วยงานสังกัดกระทรวงกลาโหม จำเลยที่ 2 เป็นกรมสังกัดกระทรวงมหาดไทย ขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 3 มีตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรี จำเลยที่ 4 เป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุด และจำเลยที่ 5 เป็นผู้บัญชาการทหารบก เมื่อระหว่างวันที่ 17ถึงวันที่ 21 พฤษภาคม 2535 เวลากลางวันและกลางคืนติดต่อกันมีประชาชนจำนวนมากได้ร่วมชุมนุมกันด้วยความสงบโดยปราศจากอาวุธ ณ บริเวณท้องสนามหลวง ถนนราชดำเนินกลางหน้ารัฐสภาและบริเวณใกล้เคียงในเขตกรุงเทพมหานคร เพื่อเรียกร้องรัฐบาลให้ใช้การปกครองตามระบอบประชาธิปไตย ซึ่งประชาชนมีสิทธิกระทำได้ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยจำเลยทั้งห้าร่วมกันสั่งกองกำลังทหารและตำรวจติดอาวุธร้ายแรงเข้าปราบปรามเข่น ฆ่าประชาชน และหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ในการกำกับดูแลให้กองกำลังทหารและตำรวจอยู่ในระเบียบวินัย เป็นเหตุให้กองกำลังทหารและตำรวจใช้อาวุธปืนยิงและทุบตีประชาชนโดยไม่มีความจำเป็นที่จะต้องกระทำอันเป็นการละเมิดต่อกฎหมาย เป็นเหตุให้บุตรของโจทก์ที่ 1, 2, 3, 7 ถึง 12, 14 ถึง 19, 26, 32 ถึง 36, 38สามีของโจทก์ที่ 4, 20 บิดาของโจทก์ที่ 5, 6, 21, 23 น้องชายของโจทก์ที่ 13 และพี่ชายของโจทก์ที่ 24, 25 ถึงแก่ความตายและเป็นเหตุให้โจทก์ที่ 27 ถึง 31, 39 ได้รับบาดเจ็บสาหัส ขอให้จำเลยทั้งห้าร่วมกันหรือแทนกันใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ทั้งสามสิบเก้าเป็นเงิน 17,652,390 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
ระหว่างไต่สวนคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถา โจทก์ที่ 33ถึงแก่กรรมนางสาวจิราพร ธงทอง ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทนศาลชั้นต้นอนุญาต
จำเลยทั้งห้าสำนวนให้การว่า ฟ้องโจทก์มิได้แสดงให้เห็นว่าจำเลยคนใดหรือจำเลยทั้งหมดได้สั่งการหรือดำเนินการอย่างใดให้ทหารและตำรวจผู้ใดเข้าปราบปรามเข่น ฆ่าประชาชน และหรือจำเลยคนใดหรือจำเลยทั้งหมดละเว้นการปฏิบัติหน้าที่อย่างใดในการกำกับดูแลให้กองกำลังทหารและตำรวจอยู่ในระเบียบวินัยอันเป็นเหตุให้กองกำลังทหารและตำรวจใช้อาวุธปืนยิงและทุบตีประชาชน และไม่ได้บรรยายให้จำเลยเข้าใจได้ว่าผู้ตายถึงแก่ความตายจากการกระทำของผู้ใด ณ ที่ใด เมื่อใด และอย่างไรฟ้องโจทก์จึงเป็นฟ้องเคลือบคลุม เหตุการณ์ครั้งนี้ประชาชนมาชุมนุมกันตั้งแต่วันที่ 4 พฤษภาคม 2535 เป็นต้นมา วันที่ 17 พฤษภาคม 2535เวลากลางคืน ผู้ร่วมชุมนุมบางกลุ่มได้ร่วมกันก่อการจลาจล เผาสถานีตำรวจดับเพลิงภูเขาทอง และทำร้ายร่างกายเจ้าหน้าที่ตำรวจจนได้รับบาดเจ็บสาหัส และยังเข้ารื้อค้นทำลายและเอาไปซึ่งทรัพย์สินของทางราชการ สถานการณ์ดังกล่าวมีแนวโน้มจะทวีความรุนแรงขึ้น รัฐบาลโดยจำเลยที่ 3 ในฐานะนายกรัฐมนตรีจึงได้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินและขอให้ประชาชนให้ความร่วมมือกับรัฐบาลเพื่อให้เหตุการณ์เข้าสู่สภาวะปกติโดยเร็ว และได้ประกาศแต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่เพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2495 มีจำเลยที่ 4 และที่ 5 เป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ร่วมด้วยและมีประกาศอีกหลายฉบับเพื่อให้เจ้าหน้าที่สามารถใช้อำนาจที่เหมาะสมและตามความจำเป็นเพื่อการรักษาความสงบเรียบร้อยในบ้านเมือง แต่การชุมนุมและการจลาจล ได้ทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้น มีการเผาสถานีตำรวจนครบาลนางเลิ้ง กรมสรรพากร กรมประชาสัมพันธ์ ทำลายไฟสัญญาณจราจร ป้อมตำรวจและรถโดยสารประจำทางพนักงานเจ้าหน้าที่จึงจำเป็นต้องใช้อำนาจตามกฎหมายเพื่อระงับยับยั้งความรุนแรงต่าง ๆ ให้เหตุการณ์สงบลง การกระทำดังกล่าวถือได้ว่าเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายหลังเกิดเหตุมีพระราชกำหนดนิรโทษกรรมแก่ผู้กระทำความผิดเนื่องในการชุมนุมกัน ระหว่างวันที่ 17พฤษภาคม พ.ศ. 2535 ถึงวันที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2535 แล้ว ดังนั้นแม้การกระทำของจำเลยจะเป็นละเมิดต่อผู้อื่น กฎหมายก็บัญญัติให้พ้นจากความผิดและความรับผิดโดยสิ้นเชิง โดยผลของกฎหมายดังกล่าวโจทก์ทั้งสามสิบเก้าจึงไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยทั้งห้ายื่นคำร้องขอให้ศาลวินิจฉัยชี้ขาดในปัญหาข้อกฎหมายเบื้องต้นว่าเมื่อมีกฎหมายนิรโทษกรรมแก่ผู้กระทำความผิดแล้วโจทก์ทั้งสามสิบเก้าจึงไม่มีอำนาจฟ้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า คดีพอวินิจฉัยได้จึงให้งดชี้สองสถานและงดสืบพยานโจทก์จำเลยแล้วพิพากษายกฟ้อง
โจทก์ทั้งสามสิบเก้าอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ทั้งสามสิบเก้าฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า เมื่อระหว่างวันที่ 17 ถึงวันที่ 21 พฤษภาคม 2535 ได้มีประชาชนจำนวนมากชุมนุมกันในเขตกรุงเทพมหานคร บริเวณท้องสนามหลวงและถนนราชดำเนินกลาง เพื่อเรียกร้องให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญเหตุการณ์ได้ลุกลามจนมีการเผาสถานที่ราชการหลายแห่ง และมีการปะทะกันระหว่างผู้ชุมนุมกับเจ้าหน้าที่ของรัฐ เป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่ร่างกายและชีวิตของบุคคลจำนวนมาก ต่อมาหลังเหตุการณ์ดังกล่าวได้มีการออกพระราชกำหนดนิรโทษกรรมแก่ผู้กระทำความผิดเนื่องในการชุมนุมกันระหว่างวันที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2535 ถึงวันที่21 พฤษภาคม พ.ศ. 2535 แต่สภาผู้แทนราษฎรไม่อนุมัติพระราชกำหนดดังกล่าวในภายหลัง มีปัญหาต้องวินิจฉัยว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่โจทก์ทั้งสามสิบเก้าฎีกาข้อแรกว่า การออกพระราชกำหนดนิรโทษกรรมแก่ผู้กระทำความผิดเนื่องในการชุมนุมกันระหว่างวันที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2535 ถึงวันที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2535ซึ่งออกใช้บังคับเมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2535 ไม่ชอบเพราะขัดต่อรัฐธรรมนูญ ข้อนี้ ปรากฏว่าตุลาการรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยไว้ในคำวินิจฉัยของคณะตุลาการรัฐธรรมนูญ ที่ 2/2535ลงวันที่ 22 กรกฎาคม 2535 ว่า การออกพระราชกำหนดดังกล่าวเป็นไปตามมาตรา 172 วรรคหนึ่ง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2534 แล้ว คำวินิจฉัยดังกล่าวย่อมเป็นเด็ดขาดตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2534 มาตรา 209 และมีผลผูกพันศาลยุติธรรมตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2540 มาตรา 268 โจทก์ทั้งสามสิบเก้าฎีกาข้อสุดท้ายว่า ข้อความที่ว่า “ไม่กระทบกระเทือนกิจการที่ได้เป็นไปในระหว่างที่ใช้พระราชกำหนดนั้น” ตามมาตรา 172 วรรคสาม ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2534 ไม่หมายความรวมถึงความรับผิดของจำเลยในคดีนี้ ข้อนี้ ตุลาการรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยไว้ในคำวินิจฉัยของคณะตุลาการรัฐธรรมนูญ ที่ 3/2535 ลงวันที่ 9 พฤศจิกายน 2535 ว่า ข้อความที่ว่ากิจการที่ได้เป็นไปในระหว่างที่ใช้พระราชกำหนดนั้นมีผลว่า นับตั้งแต่วันที่ 23 พฤษภาคม 2535 ซึ่งเป็นวันที่พระราชกำหนดฉบับดังกล่าวมีผลใช้บังคับการกระทำทั้งหลายทั้งสิ้นของบุคคลที่เกี่ยวเนื่องกับการชุมนุมกัน ระหว่างวันที่ 17 พฤษภาคม 2535 ถึงวันที่ 21 พฤษภาคม 2535 และได้กระทำในระหว่างวันดังกล่าว ถ้าการกระทำนั้นผิดกฎหมายผู้กระทำย่อมพ้นจากความผิดและความรับผิดโดยสิ้นเชิงไปทันที และการพ้นจากความผิดและความรับผิดโดยสิ้นเชิงนี้ย่อมมีอยู่ตลอดไปโดยไม่ถูกกระทบกระเทือนจากการที่พระราชกำหนดฉบับนี้ตกไปเนื่องจากสภาผู้แทนราษฎรไม่อนุมัติ เพราะพระราชกำหนดก็มีผลใช้บังคับเป็นกฎหมายเช่นเดียวกับพระราชบัญญัติดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 172 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2534 การไม่อนุมัติพระราชกำหนดนิรโทษกรรมฉบับนี้ไม่มีผลกระทบกระเทือนถึงผู้ซึ่งพระราชกำหนดบัญญัติให้พ้นจากความผิดและความรับผิดไปแล้ว ไม่ว่าบุคคลนั้นจะถูกร้องทุกข์ถูกกล่าวโทษ หรือถูกดำเนินคดีตามกฎหมายแล้วหรือไม่ก็ตามคำวินิจฉัยดังกล่าวย่อมเป็นเด็ดขาดตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2534 มาตรา 209 และมีผลผูกพันศาลยุติธรรมตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540มาตรา 268 เช่นเดียวกัน ฉะนั้น โจทก์ทั้งสามสิบเก้าจึงไม่มีอำนาจฟ้อง ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามานั้น ชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ทั้งสามสิบเก้าทุกข้อฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share