แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คำพิพากษาคดีก่อนซึ่งถึงที่สุดแล้ว คดีแรกเป็นคดีที่มี ข้อพิพาทระหว่างโจทก์และจำเลยกับบุคคลภายนอก คดีที่สอง พิพาทระหว่างบุคคลภายนอกกับจำเลย ซึ่งเป็นเรื่องเพิกถอน นิติกรรมและเรื่องขับไล่ตามลำดับ ส่วนคำพิพากษาศาลฎีกา คดีนี้เป็นคดีที่โจทก์มีข้อพิพาทกับจำเลยในเรื่องขอหย่า และแบ่งทรัพย์สิน มูลคดีของคำพิพากษาจึงแตกต่างกันและ ต่างคู่ความกัน ทั้งคำพิพากษาคดีแรกได้มีการบังคับคดีไปแล้วการที่จำเลยยื่นคำร้องในคดีนี้เพื่อให้มีผลก้าวล่วงไปถึง คดีที่ได้มีการบังคับคดีไปแล้วนั้น ศาลฎีกาย่อมไม่อาจ วินิจฉัยให้ได้ ที่จำเลยฎีกาขอให้ศาลชั้นต้นดำเนินการไต่สวนคำร้องและมีคำสั่งโดยถือเอาคำพิพากษาของศาลฎีกาในคดีนี้ซึ่งเป็น ศาลสูงกว่า และสั่งว่าบ้านพร้อมที่ดินพิพาทในคดีนี้ เป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยแต่ผู้เดียว โดยโจทก์ไม่มีสิทธิ จะแบ่งทรัพย์สินเหล่านี้จากจำเลยตามคำพิพากษาในคดีซึ่งถึงที่สุด ในคดีแรกและบังคับให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลฎีกาในคดีนี้ ต่อไปนั้น เมื่อคดีนี้ศาลฎีกาได้พิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์ กรณีไม่ต้องมีการบังคับคดี ฎีกาของจำเลยมีผลเท่ากับ ขอให้ศาลฎีกาออกคำบังคับให้หรือให้ศาลฎีกามีคำสั่งให้ ศาลชั้นต้นออกคำบังคับให้แก่จำเลย จึงไม่อาจดำเนินการให้ ในคดีนี้ได้ ทั้งไม่ใช่กรณีคำพิพากษาขัดกันอันต้องตามบทบัญญัติประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 146 ที่ศาลฎีกาจะมีคำสั่งตามคำขอของจำเลย ชอบที่จำเลยจะไปดำเนินคดีเอง
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยหย่าขาดจากการเป็นสามีภรรยากับโจทก์ และให้แบ่งสินสมรสประมาณ 122,800,000 บาท พร้อมจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูจำนวน 560,000 บาท แก่โจทก์ ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่าการสมรสเป็นโมฆะให้จำเลยแบ่งทรัพย์สินให้แก่โจทก์ครึ่งหนึ่งในฐานะเป็นเจ้าของร่วม โจทก์และจำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นว่าการสมรสเป็นโมฆะ แต่ให้จำเลยแบ่งทรัพย์สินให้แก่โจทก์ครึ่งหนึ่ง คือบ้านเลขที่ 77/33พร้อมด้วยที่ดินโฉนดเลขที่ 157095 และ 157096 แขวงคลองตันเขตพระโขนง กรุงเทพมหานคร ตามที่ระบุในบัญชีทรัพย์ท้ายฟ้องหมายเลข 2 อันดับ 3 ที่ดินตราจองเลขที่ 462 และ 463 เล่ม 5หน้า 62 และ 72 ตำบลบางพระ อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรีตามที่ระบุในบัญชีทรัพย์ท้ายฟ้องอันดับ 4 และหุ้นในบริษัทต่าง ๆอีกจำนวนหนึ่ง จำเลยฎีกา ศาลฎีกาพิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์
จำเลยยื่นคำร้องลงวันที่ 21 พฤศจิกายน 2540 ว่าคำพิพากษาศาลฎีกาคดีนี้ขัดกันกับคำพิพากษาศาลแพ่งในคดีหมายเลขแดงที่ 15993/2534 ระหว่างโจทก์คดีนี้เป็นโจทก์ฟ้องจำเลยเป็นจำเลยที่ 1 ร่วมกับธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัดเป็นจำเลยที่ 2 ให้เพิกถอนนิติกรรมและเรียกค่าเสียหายเกี่ยวกับที่ดินโฉนดเลขที่ 157095 และ 157096 แขวงคลองตันเขตพระโขนง กรุงเทพมหานคร และคดีหมายเลขแดงที่ 14994/2534ระหว่าง ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด เป็นโจทก์ฟ้อง โจทก์คดีนี้เป็นจำเลย เรียกค่าเสียหายและขับไล่ออกจากบ้านเลขที่ 77/33หมู่ 19 หมู่บ้านริมคลอง ถนนพัฒนาการ แขวงสวนหลวง เขตพระโขนงกรุงเทพมหานคร ซึ่งศาลแพ่งสั่งพิจารณาพิพากษาคดีทั้งสองสำนวนรวมกันและพิพากษาว่า โจทก์มีกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินโฉนดเลขที่ 157095, 157096 แขวงคลองตัน เขตพระโขนงกรุงเทพมหานคร พร้อมสิ่งปลูกสร้างตามฟ้องร่วมกับจำเลยที่ 1จึงพิพากษาให้เพิกถอนนิติกรรมการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมโอนชำระหนี้จำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 157095, 157096 แขวงคลองตันเขตพระโขนง กรุงเทพมหานคร พร้อมสิ่งปลูกสร้างในส่วนที่เป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ โดยให้จำเลยที่ 2 มีกรรมสิทธิ์ร่วมกับโจทก์ในทรัพย์สินดังกล่าวข้างต้น ขอให้ศาลชั้นต้นชี้ขาดว่าจะให้ถือปฏิบัติตามคำพิพากษาใดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 146
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า คำพิพากษาของศาลฎีกามีความชัดเจนอยู่แล้ว ไม่มีเหตุที่จะสั่งตามคำร้อง ให้ยกคำร้อง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คำพิพากษาศาลแพ่งในคดีหมายเลขแดงที่ 14993/2534 กับคดีหมายเลขแดงที่ 14994/2534 ซึ่งถึงที่สุดแล้วเป็นคดีที่มีข้อพิพาทระหว่างโจทก์และจำเลยกับบุคคลภายนอกและระหว่างบุคคลภายนอกกับจำเลย ซึ่งเป็นเรื่องเพิกถอนนิติกรรมและเรื่องขับไล่ ส่วนคำพิพากษาศาลฎีกาคดีนี้เป็นคดีที่โจทก์มีข้อพิพาทกับจำเลยในเรื่องขอหย่าและแบ่งทรัพย์สิน มูลคดีของคำพิพากษาทั้งสองคดีแตกต่างกัน และต่างคู่ความกันทั้งคำพิพากษาศาลแพ่งได้มีการบังคับคดีไปแล้ว ปรากฏตามคำร้องของจำเลยลงวันที่ 26 ตุลาคม 2537 และอุทธรณ์ของจำเลยลงวันที่ 28 พฤศจิกายน 2537 การที่จำเลยยื่นคำร้องในคดีนี้เพื่อให้มีผลก้าวล่วงไปถึงคดีที่ได้มีการบังคับคดีไปแล้วนั้นศาลฎีกาไม่อาจวินิจฉัยให้ได้
ส่วนที่จำเลยฎีกาขอให้ศาลชั้นต้นดำเนินการไต่สวนคำร้องและมีคำสั่งโดยให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลฎีกาในคดีนี้ซึ่งเป็นศาลสูงกว่า และสั่งว่าบ้านเลขที่ 77/33 หมู่บ้านริมคลองถนนพัฒนาการ แขวงคลองตัน เขตพระโขนง กรุงเทพมหานครพร้อมที่ดินโฉนดเลขที่ 157095 และ 157096 แขวงคลองตัน(ที่ 8 พระโขนงฝั่งเหนือ) เขตพระโขนง กรุงเทพมหานครเป็นกรรมสิทธิ์ของนายยศ เอื้อชูเกียรติ จำเลยแต่ผู้เดียวโดยโจทก์ไม่มีสิทธิจะแบ่งทรัพย์สินเหล่านี้จากจำเลยตามคำพิพากษาในคดีหมายเลขแดงที่ 14993/2534 ของศาลแพ่ง และบังคับให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลฎีกาในคดีนี้ต่อไปนั้น เห็นว่า คำพิพากษาศาลฎีกาคดีนี้ได้พิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์ อันเป็นคำพิพากษาที่ไม่ต้องมีการบังคับคดีแต่อย่างใด ฎีกาของจำเลยดังกล่าวมีผลเท่ากับขอให้ศาลฎีกาออกคำบังคับให้ หรือให้ศาลฎีกามีคำสั่งให้ศาลชั้นต้นออกคำบังคับให้แก่จำเลย ดังนั้นไม่อาจดำเนินการให้ได้ ทั้งไม่ใช่กรณีคำพิพากษาขัดกัน อันต้องตามบทบัญญัติประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 146 ที่ศาลฎีกาจะมีคำสั่งตามคำขอของจำเลยได้ ชอบที่จำเลยจะไปดำเนินคดีเอง
พิพากษายืน