คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1947/2542

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ประกาศเจ้าพนักงานบังคับคดีเรื่องการขายทอดตลาด ที่ดินได้ระบุที่ดินที่จะขายที่ดินระวาง เลขที่ดิน หน้าสำรวจ เลขที่โฉนด แขวง เขต ที่ที่ดินตั้งอยู่ซึ่งมีชื่อจำเลย เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ โดยระบุเนื้อที่ตามโฉนดขนาดกว้างยาว ของที่ดินทั้งสี่ด้าน รวมทั้งรายชื่อเจ้าของที่ดินทั้งสี่ทิศ กับระบุว่าเป็นที่ว่างเปล่ารถยนต์เข้าถึงทั้งได้ระบุการไป ให้ดูตามแผนที่สังเขปท้ายประกาศ กับมีคำเตือนผู้ซื้อว่า การรอนสิทธิค่าภาษีอากรต่าง ๆ เรื่องเขตเนื้อที่ กับระบุว่า การบอกประเภทและสภาพของทรัพย์เจ้าพนักงานบังคับคดี ไม่รับรองและไม่รับผิดชอบ เป็นหน้าที่ของผู้ซื้อที่จะต้อง ไปตรวจสอบสถานที่ด้วยตนเอง ดังนี้ ประกาศเจ้าพนักงานบังคับคดี ดังกล่าวได้ระบุข้อมูลรายละเอียดเกี่ยวกับที่ดินที่จะขายพอสมควร แก่กรณีแล้ว หากผู้ซื้อมีความสงสัยหรือต้องการทราบรายละเอียด สิ่งใดเพิ่มเติม ก็ย่อมสามารถตรวจสอบสภาพที่ดินตลอดจน หลักฐานของทางราชการได้ก่อนทำการประมูล ผู้ร้องได้ทราบข่าวการประกาศขายทอดตลาดที่ดินของเจ้าพนักงานบังคับคดีมาก่อน และผู้ร้องได้ซื้อประกาศเจ้าพนักงานบังคับคดีมาดูรายละเอียดจนทราบที่ตั้งของที่ดินที่เจ้าพนักงานบังคับคดีประกาศขายทอดตลาด กับผู้ร้อง ได้ขับรถยนต์ไปดูที่ดินเห็นที่ดินแปลงอื่นซึ่งอยู่ห่างจากถนนประมาณ 150 เมตร ตามแผนที่ท้ายประกาศ ก็เข้าใจว่าเป็นที่ดิน แปลงที่เจ้าพนักงานบังคับคดีประกาศขายทอดตลาด เมื่อผู้ร้อง ทราบว่ามีการประกาศขายทอดตลาดที่ดินพิพาทตั้งแต่เดือนธันวาคม 2537จนถึงวันที่ประมูลที่ดินได้เป็นเวลาเกือบ 6 เดือน ผู้ร้องย่อมมีเวลาสามารถตรวจสอบที่ดินได้อย่างละเอียดถี่ ถ้วน การที่ผู้ร้องไม่ได้ทำการตรวจสอบสภาพที่ดิน ตำแหน่งที่ดินที่ขายทอดตลาด ให้ดีก่อนทำการประมูล จึงเป็นความบกพร่องของผู้ร้องเอง เพราะตามประกาศเจ้าพนักงานบังคับคดีก็ระบุคำเตือนผู้ซื้อ ไว้แล้วว่า เรื่องเขตเนื้อที่ ประเภทและสภาพของทรัพย์ เจ้าพนักงานบังคับคดีไม่รับรองและไม่รับผิดชอบ เป็นหน้าที่ ผู้ซื้อที่จะต้องไปตรวจสอบสถานที่ด้วยตนเอง เช่นนี้ฟังไม่ได้ว่า เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการบังคับคดีโดยฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติ ของกฎหมายว่าด้วยการบังคับคดีผู้ร้องย่อมไม่อาจร้องขอให้ เพิกถอนการขายทอดตลาดได้ หลังจากไต่สวนพยานผู้ร้องมาแล้ว 3 ปาก ศาลชั้นต้นตรวจสำนวนแล้วปรากฏว่า โจทก์ได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลวินิจฉัย ชี้ขาดเบื้องต้นในข้อกฎหมายตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 24 ตามคำร้อง และคำแถลงคัดค้านของผู้ร้อง แล้วศาลชั้นต้นเห็นว่าพยานหลักฐาน ที่ผู้ร้องไต่สวนมาพอวินิจฉัยคำร้องได้แล้ว จึงให้งดการไต่สวน คำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าวเป็นการใช้ดุลพินิจพิเคราะห์ พยานหลักฐานในคดีประกอบกับข้อที่โจทก์ขอให้วินิจฉัยชี้ขาด เบื้องต้นในข้อกฎหมายโดยฟังว่าคดีพอวินิจฉัยได้แล้วจึงให้งดสืบพยาน คำสั่งศาลชั้นต้นในกรณีนี้จึงชอบแล้ว

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องจากโจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองชำระหนี้ตามสัญญากู้เงิน ขายลดตั๋วเงิน จำนอง ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองชำระเงินพร้อมดอกเบี้ยจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์หากจำเลยทั้งสองไม่ชำระให้ยึดทรัพย์สินจำนองออกขายทอดตลาดนำเงินมาใช้ให้แก่โจทก์ ถ้าได้เงินไม่พอชำระหนี้ก็ให้บังคับชำระหนี้เอาจากทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสองจนกว่าจะครบ จำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาจึงได้มีการยึดทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาด ผู้ร้องได้เข้าประมูลสู้ราคาและเป็นผู้เสนอราคาสูงสุด เจ้าพนักงานบังคับคดีอนุญาตให้ขายทรัพย์จำนองแก่ผู้ร้อง
ผู้ร้องยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดเนื่องจากสำคัญผิดในตำแหน่งที่ดินและมีสายไฟฟ้าแรงสูงพาดผ่านกลางที่ดินแปลงพิพาท
โจทก์ยื่นคำแถลงคัดค้านว่า เป็นความผิดพลาดของผู้ร้องเองที่ไม่ตรวจสอบทรัพย์ก่อนการประมูล ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีข้อวินิจฉัยว่า มีเหตุเพิกถอนการขายทอดตลาดที่ดินพิพาทตามคำขอของผู้ร้องหรือไม่ ผู้ร้องฎีกาว่าการบังคับคดีไม่ถูกต้องตามกฎหมาย และระเบียบของกระทรวงยุติธรรม ว่าด้วยการบังคับคดี เพราะไม่มีผู้ใดทราบตำแหน่งของที่ดินพิพาทการนำยึดมิได้มีการวัดความกว้างยาวของที่ดิน ไม่มีการทำแผนที่จำลองไม่มีการรังวัดสอบเขต ทำให้ผู้ร้องสำคัญผิดในสาระสำคัญเรื่องระยะห่างจากถนน และไม่ทราบว่ามีสายไฟฟ้าแรงสูงผ่านที่ดินพิพาท ประกาศเจ้าพนักงานบังคับคดีเรื่องการขายทอดตลาดที่ดินจึงเป็นประกาศที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายขอให้ศาลเพิกถอนการขายทอดตลาดรายนี้ เห็นว่า ประกาศเจ้าพนักงานบังคับคดีตามเอกสารหมาย ร.1 ได้ระบุที่ดินที่จะขายที่ดินระวาง 6 ต 6 ฎเลขที่ดิน 347 หน้าสำรวจ 19119 โฉนดเลขที่ 45982 แขวงบางบอน เขตบางบอน กรุงเทพมหานคร มีชื่อนายสมศักดิ์ อภิรักษ์วรชัย จำเลยที่ 2 เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์เนื้อที่ตามโฉนด 1 ไร่ 29 ตารางวา ทิศเหนือกว้างประมาณ1 เส้น 7 วา 2 ศอก จดที่ดินนางดุษณีย์ สงค์ประเสริฐ ทิศใต้กว้างประมาณ 1 เส้น 8 วา จดที่ดินนางดุษณีย์ สงค์ประเสริฐทิศตะวันออกกว้างประมาณ 15 วา จดที่ดินนายวาณิช จำนงวรวุฒิทิศตะวันตกกว้างประมาณ 15 วา จดที่ดินนางดุษณีย์ สงค์ประเสริฐเป็นที่ว่างเปล่ารถยนต์เข้าถึง ทั้งได้ระบุการไป ให้ดูตามแผนที่สังเขปท้ายประกาศ กับมีคำเตือนผู้ซื้อว่า การรอนสิทธิค่าภาษีอากรต่าง ๆ เรื่องเขตเนื้อที่ การบอกประเภทและสภาพของทรัพย์ เจ้าพนักงานบังคับคดีไม่รับรองและไม่รับผิดชอบเป็นหน้าที่ของผู้ซื้อที่จะต้องไปตรวจสอบสถานที่ด้วยตนเองประกาศเจ้าพนักงานบังคับคดีดังกล่าวได้ระบุข้อมูลรายละเอียดเกี่ยวกับที่ดินที่จะขายพอสมควรแก่กรณีแล้ว หากผู้ซื้อมีความสงสัยหรือต้องการทราบรายละเอียดสิ่งใดเพิ่มเติม ก็ย่อมสามารถตรวจสอบสภาพที่ดินตลอดจนหลักฐานของทางราชการได้ก่อนทำการประมูลผู้ร้องได้ทราบข่าวการประกาศขายทอดตลาดที่ดินของเจ้าพนักงานบังคับคดีตั้งแต่ประมาณเดือนธันวาคม 2537 ได้ซื้อประกาศเจ้าพนักงานบังคับคดีมาดูรายละเอียดจนทราบว่าที่ดินดังกล่าวอยู่ที่ถนนเอกชัยซอย 93 แขวงบางบอน เขตบางขุนเทียน กรุงเทพมหานคร ประมาณปลายเดือนธันวาคม 2537 ผู้ร้องขับรถยนต์ไปดูที่ดิน เห็นที่ดินแปลงหนึ่งห่างจากถนนประมาณ 150 เมตร ตามแผนที่ท้ายประกาศ ก็เข้าใจว่าเป็นที่ดินแปลงที่เจ้าพนักงานบังคับคดีประกาศขายทอดตลาด ผู้ร้องเข้าประมูลที่ดินพิพาทเมื่อวันที่ 4 มกราคม 2538 วันที่ 29 มีนาคม 2538และครั้งสุดท้ายวันที่ 21 มิถุนายน 2538 ครั้งนี้ผู้ร้องประมูลได้ในราคา 6,000,000 บาท ดังนี้ผู้ร้องทราบว่ามีการประกาศขายทอดตลาดที่ดินพิพาทตั้งแต่เดือนธันวาคม 2537 จนถึงวันที่ประมูลที่ดินได้เป็นเวลาเกือบ 6 เดือน ผู้ร้องย่อมมีเวลาสามารถตรวจสอบที่ดินได้อย่างละเอียดถี่ ถ้วน การที่ผู้ร้องไม่ได้ทำการตรวจสอบสภาพที่ดิน ตำแหน่งที่ดินที่ขายทอดตลาดให้ดีก่อนทำการประมูล จึงเป็นความบกพร่องของผู้ร้องเอง เพราะตามประกาศเจ้าพนักงานบังคับคดีก็ระบุคำเตือนผู้ซื้อไว้แล้วว่า เรื่องเขตเนื้อที่ ประเภทและสภาพของทรัพย์เจ้าพนักงานบังคับคดีไม่รับรองและไม่รับผิดชอบ เป็นหน้าที่ผู้ซื้อที่จะต้องไปตรวจสอบสถานที่ด้วยตนเอง จึงฟังไม่ได้ว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการบังคับคดีโดยฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติของกฎหมายว่าด้วยการบังคับคดีผู้ร้องไม่อาจร้องขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดได้
ส่วนที่ผู้ร้องฎีกาว่าศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานผู้ร้องโดยไม่ชอบนั้นได้ความว่า หลังจากไต่สวนพยานผู้ร้องมาแล้ว 3 ปาก ศาลชั้นต้นตรวจสำนวนแล้วปรากฏว่า โจทก์ได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในข้อกฎหมายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 24 ตามคำร้องฉบับลงวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2540 และคำแถลงคัดค้านของผู้ร้อง ลงวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2540 (ที่ถูกเป็นลงวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2540) ศาลเห็นว่าพยานหลักฐานที่ผู้ร้องไต่สวนมาพอวินิจฉัยคำร้องได้แล้ว จึงให้งดการไต่สวน คำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าวเป็นการใช้ดุลพินิจพิเคราะห์พยานหลักฐานในคดีประกอบกับข้อที่โจทก์ขอให้วินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในข้อกฎหมายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 24 โดยฟังว่าคดีพอวินิจฉัยได้แล้ว จึงให้งดสืบพยาน คำสั่งศาลชั้นต้นในกรณีนี้จึงชอบแล้ว
พิพากษายืน

Share