แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงานข้อ 46 วรรคสาม ที่กำหนดให้ลูกจ้างที่นายจ้างแจ้งเป็นหนังสือแต่แรกว่าให้ทดลองปฏิบัติงานในระยะเวลาไม่เกิน 180 วันและยังอยู่ในระหว่างทดลองงาน ไม่มีสิทธิได้รับค่าชดเชยเมื่อถูกเลิกจ้าง ได้ถูกยกเลิกโดยประกาศกระทรวงมหาดไทยเรื่อง การคุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ 11) ลงวันที่ 11 ตุลาคมพ.ศ. 2532 ข้อ 7 อุทธรณ์จำเลยที่ว่าโจทก์อยู่ในระหว่างทดลองงาน จำเลยเลิกจ้างได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยจึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย และแม้ศาลแรงงานกลางยังมิได้วินิจฉัยข้อเท็จจริงว่า โจทก์อยู่ใน ระหว่างทดลองงานหรือไม่ก็ไม่จำต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยข้อเท็จจริงดังกล่าวก่อนเพราะไม่เป็นประโยชน์แก่คดี จำเลยตกลงจ้างโจทก์เป็นลูกจ้างทำงานในหน้าที่อาจารย์สอนภาษาอังกฤษและงานอื่น ๆ ตามที่จำเลยจะมอบหมาย โดยจำเลยเป็นผู้ดำเนินการขอรับใบอนุญาตให้เป็นครูตาม พระราชบัญญัติโรงเรียนเอกชน พ.ศ. 2525 มาตรา 39 แก่โจทก์ ระยะแรกโจทก์ไม่อาจปฏิบัติหน้าที่เป็นอาจารย์สอนภาษาอังกฤษ ได้เนื่องจากโจทก์ยังไม่ได้รับใบอนุญาตให้เป็นครู จำเลยได้ ให้โจทก์โฆษณาให้โรงเรียนของจำเลย และจำเลยจ่ายค่าจ้างให้แก่โจทก์ตลอดมาแสดงว่างานที่จำเลยจ้างโจทก์ทำไม่ใช่ มีเฉพาะงานเป็นอาจารย์สอนภาษาอังกฤษอันเป็นงานที่ต้อง ได้รับอนุญาตตามพระราชบัญญัติโรงเรียนเอกชนฯ มาตรา 39 เพียงอย่างเดียวเท่านั้นแต่จำเลยได้จ้างโจทก์ให้ทำงาน โฆษณาให้โรงเรียนของจำเลยด้วย ซึ่งเป็นงานที่ไม่ห้าม คนต่างด้าวทำโดยเด็ดขาดตามมาตรา 6 แห่งพระราชบัญญัติ การทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. 2521 แต่จะต้องรับใบอนุญาต จากอธิบดีก่อนคนต่างด้าวจึงจะทำงานดังกล่าวได้ตามมาตรา 7 โดยมาตรา 8 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวกำหนดให้เป็นหน้าที่ ของจำเลยในฐานะผู้ประสงค์จะให้โจทก์คนต่างด้าวทำงานเป็นผู้ขอรับใบอนุญาตแทนโจทก์ ดังนั้น สัญญาจ้างโจทก์ในส่วนที่ให้ทำงานอย่างอื่นนอกเหนือจากการเป็นอาจารย์สอนภาษาอังกฤษจึงไม่ตกเป็นโมฆะ จำเลยยังคงมีสิทธิและหน้าที่ ตามสัญญาจ้างและกฎหมายต่อโจทก์ทุกประการ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยจ้างโจทก์ทำงานเป็นลูกจ้าง ทำหน้าที่อาจารย์สอนภาษาอังกฤษ ดูแลศูนย์การเรียนอิสระและอื่น ๆที่ได้รับมอบหมายจากจำเลย หลังจากสิ้นสุดระยะเวลาจ้างจำเลยยังปล่อยให้โจทก์ทำงานต่อไปตามปกติและให้ค่าจ้างตลอดมาจนถึงวันที่ 11 มิถุนายน 2540 จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยอ้างว่าสัญญาจ้างสิ้นสุดลงแล้วโดยไม่จ่ายค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและค่าจ้างค้างจ่าย ขอให้บังคับจำเลยจ่ายค่าชดเชยจำนวน 60,000 บาท สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าจำนวน20,000 บาท และค่าจ้างค้างจ่ายจำนวน 10,000 บาท แก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยมิได้ทำสัญญาจ้างกับโจทก์ เพราะโจทก์เป็นคนต่างด้าวและมีคุณสมบัติไม่ครบถ้วนตามที่กฎหมายกำหนดแต่จำเลยตกลงให้โจทก์สอนหนังสือเป็นการทดลองงานไปก่อน 6 เดือนและข้อตกลงให้ทดลองงานเป็นสัญญาที่มีวัตถุประสงค์ต้องห้ามโดยชัดแจ้งโดยกฎหมาย เป็นการพ้นวิสัยหรือขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนและมิได้ทำให้ถูกต้องตามแบบจึงเป็นโมฆะโจทก์มิได้ร้องกล่าวหาต่อคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ภายใน 60 วัน จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า จำเลยต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าชดเชย และค่าจ้างค้างจ่าย และโจทก์มีอำนาจฟ้อง พิพากษาให้จำเลยจ่ายเงินดังกล่าวแก่โจทก์รวมจำนวน 80,000 บาท
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า “ที่จำเลยอุทธรณ์ประการต่อมาว่าโจทก์อยู่ในระหว่างทดลองงาน จำเลยจึงเลิกจ้างโจทก์ได้ โดยโจทก์ไม่ได้รับค่าทดแทน (ที่ถูกค่าชดเชย) นั้นเห็นว่า ประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงานข้อ 46 วรรคสาม ที่กำหนดให้ลูกจ้างที่นายจ้างแจ้งเป็นหนังสือแต่แรกว่าให้ทดลองปฏิบัติงานในระยะเวลาไม่เกิน 180 วันและยังอยู่ในระหว่างทดลองงาน ไม่มีสิทธิได้รับค่าชดเชยได้ถูกยกเลิกโดยประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน(ฉบับที่ 11) ลงวันที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2532 ข้อ 7 อุทธรณ์จำเลยในข้อดังกล่าวจึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยและแม้ศาลแรงงานกลางยังมิได้วินิจฉัยข้อเท็จจริงว่าโจทก์อยู่ในระหว่างทดลองงานหรือไม่ ก็ไม่จำต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยข้อเท็จจริงดังกล่าวก่อน เพราะไม่เป็นประโยชน์แก่คดี อุทธรณ์จำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
อุทธรณ์จำเลยประการสุดท้ายที่ว่า โจทก์เป็นคนต่างด้าวเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวต้องมีใบอนุญาตให้ทำงานตามกฎหมาย แต่โจทก์ไม่มีใบอนุญาตทำงาน สัญญาจ้างที่จำเลยทำกับโจทก์จึงผิดกฎหมายและเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 113 (ที่ถูกมาตรา 150)นั้น เห็นว่า ข้อเท็จจริงจากคำเบิกความของนายทองใบ ปัญญาทินันท์พยานจำเลยซึ่งปรากฏอยู่ในสำนวนว่าจำเลยตกลงจ้างโจทก์เป็นลูกจ้างทำงานในหน้าที่อาจารย์สอนภาษาอังกฤษและงานอื่น ๆ ตามที่จำเลยจะมอบหมาย โดยจำเลยเป็นผู้ดำเนินการขอรับใบอนุญาตให้เป็นครูตามพระราชบัญญัติโรงเรียนเอกชน พ.ศ. 2525 มาตรา 39แก่โจทก์ระยะแรกที่โจทก์ไม่อาจปฏิบัติหน้าที่เป็นอาจารย์สอนภาษาอังกฤษได้ เนื่องจากโจทก์ยังไม่ได้รับใบอนุญาตให้เป็นครูจำเลยได้ให้โจทก์ทำงานอื่น เช่น ทำโฆษณาให้โรงเรียนของจำเลยและจำเลยจ่ายค่าจ้างให้แก่โจทก์ตลอดมา ดังนี้แสดงให้เห็นว่างานที่จำเลยจ้างโจทก์ทำไม่ใช่มีเฉพาะงานเป็นอาจารย์สอนภาษาอังกฤษอันเป็นงานที่ต้องได้รับอนุญาตตามพระราชบัญญัติโรงเรียนเอกชน พ.ศ. 2525 มาตรา 39 เพียงอย่างเดียวเท่านั้นแต่จำเลยได้จ้างโจทก์ให้ทำงานอย่างอื่น ได้แก่ งานโฆษณาให้โรงเรียนของจำเลยด้วยซึ่งเป็นงานที่ไม่ห้ามคนต่างด้าวทำโดยเด็ดขาดตามมาตรา 6 แห่งพระราชบัญญัติการทำงานของคนต่างด้าวพ.ศ. 2521 แต่จะต้องรับใบอนุญาตจากอธิบดีก่อนคนต่างด้าวจึงจะทำงานดังกล่าวได้ตามมาตรา 7 โดยมาตรา 8 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวกำหนดให้เป็นหน้าที่ของจำเลยในฐานะผู้ประสงค์จะให้โจทก์คนต่างด้าวทำงานเป็นผู้ขอรับใบอนุญาตแทนโจทก์ดังนั้น สัญญาจ้างโจทก์ในส่วนที่ให้ทำงานอย่างอื่นนอกเหนือจากการเป็นอาจารย์สอนภาษาอังกฤษจึงไม่ตกเป็นโมฆะ จำเลยยังคงมีสิทธิและหน้าที่ตามสัญญาจ้างและกฎหมายต่อโจทก์ทุกประการ อุทธรณ์ของจำเลยในข้อที่ว่าสัญญาจ้างในส่วนให้โจทก์เป็นอาจารย์สอนภาษาอังกฤษเป็นโมฆะย่อมไม่ทำให้ผลการวินิจฉัยคดีเปลี่ยนแปลงไปจึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคหนึ่ง ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 31ศาลฎีกาไม่วินิจฉัยให้เช่นเดียวกัน”
พิพากษายืน