แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
คดีนี้โจทก์ไม่มีประจักษ์พยานที่รู้เห็นเหตุการณ์มาเบิกความต่อศาล คงมีแต่คำเบิกความของพนักงานสอบสวนว่า หลังเกิดเหตุ ผ.มาแจ้งว่าจำเลยมาบอกกับผ.ว่าจำเลยทำอาวุธปืนลั่นถูกผู้ตาย ซึ่งเป็นการได้รับคำบอกเล่ามาจาก ผ. อีกทอดหนึ่งและถ้อยคำที่รับฟังมาก็มิได้ยืนยันว่าจำเลยยิงผู้ตายโดยมีเจตนาฆ่าเป็นแต่เพียง ผ. ได้รับคำบอกเล่าจากตัวจำเลยว่าจำเลยทำอาวุธปืนลั่นถูกผู้ตาย ความจริงจะเป็นเช่นใด ผ. ก็มิได้รู้เห็นเหตุการณ์ด้วยตนเอง ทั้งโจทก์ก็มิได้ตัว ผ. ซึ่งเป็นพยานสำคัญมาสืบในชั้นพิจารณาคดีของศาลคงส่งอ้างบันทึกคำให้การ ในชั้นสอบสวนของ ผ. ซึ่งบันทึกดังกล่าวพนักงานสอบสวนจัดทำขึ้นฝ่ายเดียวและจำเลยไม่มีโอกาสโต้แย้งคัดค้าน จึงยังไม่อาจรับฟังยืนยันว่าเป็นความจริงดังกล่าวได้ ทั้งข้อความในบันทึกการจับกุมก็ระบุเพียงว่า จำเลยให้การ รับสารภาพเท่านั้นหาได้มีข้อความบันทึกระบุถึงพฤติการณ์ แห่งการกระทำผิดไว้ไม่ ซึ่งข้อความดังกล่าวเป็นสาระสำคัญ ส่วนหนึ่งของพฤติการณ์แห่งคดี บันทึกการจับกุมดังกล่าว จึงยังไม่อาจชี้ยืนยันว่าจำเลยกระทำความผิด พยานหลักฐาน โจทก์ยังไม่พอฟังลงโทษจำเลยในความผิดฐานฆ่าผู้ตาย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288, 91 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืนวัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490มาตรา 7, 72 กับให้ริบของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 จำคุก 20 ปี จำเลยให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 คงจำคุก 13 ปี 4 เดือน ให้ริบของกลางข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์ แต่คงให้ริบของกลาง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้วข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง นายมานะวรรณวิไลหรืองามเดช ผู้ตายถูกคนร้ายใช้อาวุธปืนยิงถึงแก่ความตายปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ในชั้นนี้มีว่า จำเลยเป็นคนร้ายที่ยิงผู้ตายหรือไม่ คดีนี้โจทก์ไม่มีประจักษ์พยานที่รู้เห็นเหตุการณ์มาเบิกความต่อศาลคงมีแต่คำเบิกความของพันตำรวจโทดำรงค์ ใบพลูทอง และพันตำรวจตรีลือสิน ศุกรเสพย์ พนักงานสอบสวนว่าหลังเกิดเหตุนายเผด็จ วันทอง บอกแก่พยานทั้งสองว่าจำเลยมาแจ้งแก่นายเผด็จว่าจำเลยทำอาวุธปืนลั่นถูกผู้ตายแล้วจำเลยหลบหนีไปสิบตำรวจโทศุภวัฒน์ ด้วงเจริญ พยานโจทก์ผู้จับกุมเบิกความว่า ในชั้นจับกุมจำเลยให้การรับสารภาพพยานได้สอบถามจำเลยถึงพฤติการณ์ที่จำเลยกระทำความผิดจำเลยแจ้งว่ามีเหตุทะเลาะวิวาทกับผู้ตายแล้วจำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้ตาย เห็นว่า พันตำรวจโทดำรงค์และพันตำรวจตรีลือสินได้รับคำบอกเล่ามาจากนายเผด็จอีกทอดหนึ่งและถ้อยคำที่รับฟังมาก็มิได้ยืนยันว่าจำเลยยิงผู้ตายโดยมีเจตนาฆ่าเป็นแต่เพียงนายเผด็จได้รับคำบอกเล่าจากตัวจำเลยว่าจำเลยทำอาวุธปืนลั่นถูกผู้ตาย ความจริงจะเป็นเช่นใด นายเผด็จก็มิได้รู้เห็นเหตุการณ์ด้วยตนเอง ทั้งโจทก์ก็มิได้ตัวนายเผด็จซึ่งเป็นพยานสำคัญมาสืบในชั้นพิจารณาคดีของศาล คงส่งอ้างบันทึกคำให้การในชั้นสอบสวนของนายเผด็จซึ่งบันทึกดังกล่าวพนักงานสอบสวนจัดทำขึ้นฝ่ายเดียวและจำเลยไม่มีโอกาสโต้แย้งคัดค้านข้อเท็จจริงจึงยังไม่อาจรับฟังยืนยันว่าเป็นความจริงดังกล่าวได้และที่โจทก์นำสืบว่าจำเลยให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมก็ปรากฏข้อความในบันทึกการจับกุมดังกล่าวระบุเพียงว่าจำเลยให้การรับสารภาพเท่านั้น หาได้มีข้อความบันทึกระบุถึงพฤติการณ์แห่งการกระทำผิดไว้ดังคำเบิกความของสิบตำรวจโทศุภวัฒน์ไม่ ซึ่งข้อความดังกล่าวเป็นสาระสำคัญส่วนหนึ่งของพฤติการณ์แห่งคดี บันทึกการจับกุมเอกสารหมาย จ.1จึงยังไม่อาจชี้ยืนยันว่าจำเลยกระทำความผิด พยานหลักฐานโจทก์ยังไม่พอฟังลงโทษจำเลยในความผิดฐานฆ่าผู้ตายตามฟ้องคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน