คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 496/2542

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยเป็นพนักงานของธนาคารผู้เสียหาย มีหน้าที่รับฝาก- ถอนเงินให้แก่ลูกค้าของผู้เสียหาย จำเลยรับมอบเงินจากโจทก์ร่วมซึ่งเป็นลูกค้าของผู้เสียหายเพื่อฝากเข้าบัญชีกระแสรายวันของลูกค้าดังกล่าวแล้ว จำเลยจะเป็นผู้เขียน กรอกข้อความลงในต้นฉบับชุดฝากเงินสด-เช็ค และฉีกต้นฉบับ ไว้แล้วมอบสำเนาให้โจทก์ร่วมเป็นหลักฐาน ต่อมาจำเลยได้ แก้ไขจำนวนเงินในต้นฉบับชุดฝากเงินสด-เช็คให้น้อยกว่าจำนวนเงิน ที่โจทก์ร่วมนำมาฝาก แล้วนำเอกสารที่แก้ไขพร้อมจำนวนเงินตาม เอกสารที่แก้ไขใหม่ ให้หัวหน้าหน่วยการเงินตรวจสอบความถูกต้อง ก่อนส่งเงิน เก็บรักษา จึงเป็นการทำเอกสารปลอมขึ้นทั้งฉบับเพื่อให้ผู้อื่นหลงเชื่อว่าเป็นเอกสารที่แท้จริงและก่อให้เกิดความเสียหายแก่ธนาคารจึงเป็นการปลอมเอกสารสิทธิและใช้ เอกสารสิทธิปลอม การที่จำเลยเขียนต้นฉบับชุดฝากเงินสด-เช็คขึ้นใหม่ให้จำนวนเงินฝากน้อยกว่าความเป็นจริงโดยเชื่อได้ว่าจำเลยได้ ทำลายต้นฉบับชุดฝากเงินสด-เช็คที่แท้จริงอันเป็นหลักฐานของ ธนาคารผู้เสียหายซึ่งจำเลยจะต้องนำไปลงบัญชีเพื่อแสดง ยอดเงินฝากของโจทก์ร่วมโดยไม่มีสิทธิทำลาย การกระทำของ จำเลยจึงเป็นความผิดฐานทำลายเอกสารของผู้อื่น จำเลยได้เบียดบังเงินฝากของโจทก์ร่วมโดยแก้ไขจำนวนเงิน ในต้นฉบับชุดฝากเงินสด-เช็ค ให้มีจำนวนน้อยกว่าความเป็นจริง และได้เขียนต้นฉบับชุดฝากเงินสด-เช็คขึ้นใหม่ระบุจำนวนน้อยกว่า จำนวนเงินที่โจทก์ร่วมนำมาฝากแล้วลงบัญชีกระแสรายวัน ของโจทก์ร่วมตามจำนวนที่จำเลยแก้ไขและทำขึ้นใหม่นั้น และจำเลยไม่นำเงินฝากเข้าบัญชีกระแสรายวันของโจทก์ร่วมโดยสุจริตจึงเป็นความผิดฐานยักยอกทรัพย์ การที่จำเลยเป็นพนักงานธนาคารมีหน้าที่รับฝาก-ถอนเงินให้แก่ลูกค้าของธนาคารผู้เสียหายซึ่งเป็นผู้มีอาชีพอันย่อมเป็นที่ไว้วางใจของประชาชนจึงต้องรับโทษหนักขึ้นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 354

ย่อยาว

คดีทั้งสองสำนวนนี้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้รวมพิจารณากับคดีอาญาหมายเลขดำที่ 715/2537 ของศาลชั้นต้น แต่คดีอาญาหมายเลขดำที่ 715/2537 ของศาลชั้นต้นถึงที่สุดตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3คงขึ้นมาสู่การพิจารณาของศาลฎีกาเฉพาะคดีทั้งสองสำนวนนี้
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้อง ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90, 91, 188, 264, 265, 268,352, 354 ให้จำเลยคืนเงินแก่ผู้เสียหายและนับโทษจำเลยนี้ต่อจากโทษของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 715/2537, 656/2537และ 137/2538 ของศาลชั้นต้น
ระหว่างพิจารณา นางขวัญใจ หะยีหมาด ผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ศาลชั้นต้นอนุญาต
จำเลยให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 188, 265, 268, 352,354 รวม 10 กรรม ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานทำลายเอกสารของผู้อื่นและยักยอกทรัพย์เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทที่มีโทษเท่ากันรวมสองกรรมให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 354ประกอบด้วยมาตรา 352 รวม 2 กรรม จำคุกกระทงละ 3 ปี ฐานทำลายเอกสารของผู้อื่น ปลอมเอกสารสิทธิ ใช้เอกสารสิทธิปลอมและยักยอกทรัพย์รวม 3 กรรม เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท จำเลยเป็นผู้ปลอมเอกสารสิทธิและใช้เอกสารสิทธิปลอมจึงให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 วรรคหนึ่ง ประกอบด้วยมาตรา 265 ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 รวม 3 กรรม จำคุกกระทงละ 3 ปี และฐานปลอมเอกสารสิทธิ ใช้เอกสารสิทธิปลอมและยักยอกทรัพย์รวม 5 กรรม เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท จำเลยเป็นผู้ปลอมเอกสารสิทธิและใช้เอกสารสิทธิปลอม จึงให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 วรรคหนึ่ง ประกอบด้วยมาตรา 265 ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 90 รวม 5 กรรม จำคุกกระทงละ 3 ปี รวมจำคุก 30 ปีคำให้การชั้นสอบสวนและคำเบิกความของจำเลยเป็นการให้ความรู้แก่ศาล เป็นประโยชน์แก่การพิจารณาคดีอยู่บ้าง มีเหตุบรรเทาโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุก 20 ปี และให้จำเลยคืนเงินจำนวน 140,000 บาท แก่ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ผู้เสียหายด้วย
จำเลยทั้งสองสำนวนนี้และจำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 715/2537ของศาลชั้นต้นอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดข้อหาทำลายเอกสารของผู้อื่นและยักยอกทรัพย์ 1 กระทง ข้อหาทำลายเอกสารของผู้อื่น ปลอมเอกสารสิทธิใช้เอกสารสิทธิปลอมและยักยอกทรัพย์ 3 กระทง และข้อหาปลอมเอกสารสิทธิ ใช้เอกสารสิทธิปลอมและยักยอกทรัพย์ 5 กระทง รวม 9 กระทง วางโทษกระทงละ 1 ปี รวมจำคุก 9 ปี คำให้การชั้นสอบสวนและคำเบิกความของจำเลยเป็นการให้ความรู้แก่ศาลเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาคดีอยู่บ้าง มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 หนึ่งในสามคงจำคุก 6 ปี ยกฟ้องโจทก์ในความผิดที่เกี่ยวกับการทำลายเอกสารและยักยอกเงินของนายบุญส่งและนางชื่นฤดี พิริเยศยางกูร (สำนวนคดีอาญาหมายเลขดำที่ 715/2537 ของศาลชั้นต้น) และที่โจทก์ขอให้นับโทษจำเลยต่อนั้นให้ยกเนื่องจากศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้รวมพิจารณาและพิพากษาคดีเข้าด้วยกัน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยทั้งสองสำนวนฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยเป็นพนักงานของธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน)ผู้เสียหาย สาขาท่าพระ อำเภอท่าชนะ จังหวัดสุราษฎร์ธานีตำแหน่งเจ้าหน้าที่อำนวยการบริการ 8 มีหน้าที่รับฝาก-ถอนเงินให้แก่ลูกค้าของผู้เสียหาย ตามวันเวลาเกิดเหตุตามฟ้องนางขวัญใจ หะยีหมาด โจทก์ร่วมได้นำเงินมอบให้จำเลยเพื่อฝากเข้าบัญชีกระแสรายวันของโจทก์ร่วมที่ธนาคารผู้เสียหายสาขาท่าชนะ รวม 9 ครั้ง เป็นเงิน 487,810 บาท จำเลยเป็นผู้เขียนกรอกข้อความลงในต้นฉบับชุดฝากเงินสด-เช็คโดยใช้กระดาษคาร์บอนอัดสำเนาแล้วฉีกต้นฉบับไว้ส่วนสำเนามอบให้โจทก์ร่วมเป็นหลักฐาน หลังจากนั้นจำเลยได้แก้ไขจำนวนเงินที่เป็นตัวเลขและตัวอักษรในต้นฉบับชุดฝากเงินสด-เช็ค รวม 5 ฉบับคือ ฉบับลงวันที่ 6 กรกฎาคม 2536 จาก 38,000 บาทเป็น 28,000 บาท ตามเอกสารหมาย จ.6 ฉบับลงวันที่21 ตุลาคม 2536 จาก 30,000 บาท เป็น 20,000 บาทตามเอกสารหมาย จ.8 ฉบับลงวันที่ 17 ธันวาคม 2536 จาก33,000 บาท เป็น 23,000 บาท ตามเอกสารหมาย จ.10 ฉบับลงวันที่ 23 มีนาคม 2537 จาก 35,000 บาท เป็น 25,000 บาทตามเอกสารหมาย จ.16 และฉบับลงวันที่ 4 พฤษภาคม 2537จาก 30,000 บาท เป็น 20,000 บาท ตามเอกสารหมายจ.20 และจำเลยได้เขียนต้นฉบับชุดฝากเงินสด-เช็คขึ้นใหม่รวม3 ฉบับ คือ ต้นฉบับชุดฝากเงินสด-เช็คฉบับลงวันที่ 4 มกราคม 2537ระบุจำนวนเงินฝาก 163,010 บาท ตามเอกสารหมาย จ.12 ฉบับลงวันที่ 13 มกราคม 2537 ระบุจำนวนเงินฝาก 20,000 บาท ตามเอกสารหมาย จ.14 และฉบับลงวันที่ 7 เมษายน 2537 ระบุจำนวนเงินฝาก 48,800 บาท ตามเอกสารหมาย จ.18 แล้วจำเลยนำต้นฉบับชุดฝากเงินสด-เช็คดังกล่าวลงบัญชีกระแสรายวันของโจทก์ร่วมตามจำนวนเงินที่ระบุไว้ในต้นฉบับชุดฝากเงินสด-เช็คที่จำเลยแก้ไขและเขียนขึ้นใหม่นั้นและจำเลยได้เขียนกรอกข้อความลงในต้นฉบับชุดฝากเงินสด-เช็คระบุจำนวนเงินฝาก 20,000 บาทและมอบสำเนาชุดฝากเงินสด-เช็คฉบับลงวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2537จำนวนเงิน 20,000 บาท แก่โจทก์ร่วมตามเอกสารหมาย จ.15แต่จำเลยไม่ได้นำเงินฝากเข้าบัญชีกระแสรายวันของโจทก์ร่วม
มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ สำหรับข้อหาปลอมเอกสารสิทธิและใช้เอกสารสิทธิปลอมนั้น เห็นว่า ในการฝากเงินของโจทก์ร่วม เมื่อโจทก์ร่วมมอบเงินฝากให้จำเลย จำเลยจะเป็นผู้เขียนกรอกข้อความลงในต้นฉบับชุดฝากเงินสด- เช็ค โดยใช้กระดาษคาร์บอนอัดสำเนาแล้วฉีกต้นฉบับไว้และมอบสำเนาให้โจทก์ร่วมเป็นหลักฐาน ต่อมาจำเลยได้แก้ไขจำนวนเงินที่เป็นตัวเลขและตัวอักษรในต้นฉบับชุดฝากเงินสด-เช็ครวม 5 ฉบับ ให้น้อยลงกว่าจำนวนเงินที่โจทก์ร่วมนำมาฝาก ตามเอกสารหมาย จ.6 จ.8 จ.10 จ.16 และ จ.20แล้วนำเอกสารที่จำเลยแก้ไขดังกล่าวพร้อมจำนวนเงินตามเอกสารที่แก้ไขใหม่ให้หัวหน้าหน่วยการเงินตรวจสอบความถูกต้องก่อนส่งเงินเก็บรักษาต่อไป ดังนี้ การกระทำของจำเลยดังกล่าวเป็นการแก้ไขต้นฉบับชุดฝากเงินสด-เช็คที่แท้จริงเพื่อแสดงให้เห็นเป็นอย่างอื่นและก่อให้เกิดความเสียหายแก่ธนาคารผู้เสียหายแล้วจึงเป็นการปลอมเอกสารสิทธิและใช้เอกสารสิทธิปลอมทั้ง 5 ฉบับและการที่จำเลยเขียนต้นฉบับชุดฝากเงินสด-เช็คขึ้นใหม่รวม 3 ฉบับ ระบุจำนวนเงินที่เป็นตัวเลขและตัวอักษรให้น้อยลงกว่าจำนวนเงินที่โจทก์ร่วมนำมาฝาก ตามเอกสารหมาย จ.12 จ.14 และ จ.18 แล้วนำเอกสารที่จำเลยแก้ไขดังกล่าวพร้อมจำนวนเงินตามเอกสารที่ทำขึ้นใหม่ให้หัวหน้าหน่วยการเงินตรวจสอบความถูกต้องก่อนส่งเงินเก็บรักษาต่อไป ดังนี้ เป็นการทำเอกสารปลอมขึ้นทั้งฉบับเพื่อให้ผู้อื่นหลงเชื่อว่าเป็นเอกสารที่แท้จริง และก่อให้เกิดความเสียหายแก่ธนาคารผู้เสียหายแล้ว จึงเป็นการปลอมเอกสารสิทธิและใช้เอกสารสิทธิปลอมทั้ง 3 ฉบับเช่นเดียวกัน ไม่ใช่เป็นเพียงการปลอมเอกสารธรรมดาดังที่จำเลยฎีกา เพราะต้นฉบับชุดฝากเงินสด-เช็คมีข้อความแสดงว่าได้รับเงินเพื่อฝากเข้าบัญชีกระแสรายวันของโจทก์ร่วมย่อมเป็นหลักฐานแห่งการก่อตั้งสิทธิแก่โจทก์ร่วมที่จะเรียกถอนเงินฝากคืนได้ เอกสารดังกล่าวจึงเป็นเอกสารสิทธิตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 1(9) การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานปลอมเอกสารสิทธิตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 265 และฐานใช้เอกสารสิทธิปลอม ตามมาตรา 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 265
สำหรับข้อหาทำลายเอกสารของผู้อื่นนั้น ได้ความจากคำเบิกความของนายไตรรงค์ บุญมาประสิทธิ์ สมุห์บัญชีธนาคารผู้เสียหายสาขาท่าชนะ ว่า ตามต้นฉบับชุดฝากเงินสด-เช็คฉบับลงวันที่ 4 มกราคม 2537 ระบุจำนวนเงินฝาก 163,010 บาท ส่วนสำเนาระบุจำนวนเงินฝาก 193,010 บาท ต้นฉบับชุดฝากเงินสด-เช็ค ฉบับลงวันที่ 13 มกราคม 2537 ระบุจำนวนเงินฝาก 20,000 บาท ส่วนสำเนาระบุจำนวนเงินฝาก 30,000 บาท และต้นฉบับ ชุดฝากเงินสด-เช็คฉบับลงวันที่ 7 เมษายน 2537 ระบุจำนวนเงินฝาก 48,800 บาท ส่วนสำเนาระบุจำนวนเงินฝาก 78,000 บาท และแก้ไขสำเนาจาก 78,000 บาท เป็น 48,800 บาทตามเอกสารหมาย จ.12 จ.14 และ จ.18 ตามลำดับ ซึ่งเป็นการเขียนต้นฉบับขึ้นใหม่ให้จำนวนเงินฝากน้อยกว่าความเป็นจริงและการฝากเงินของโจทก์ร่วมในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2537 ทางธนาคารผู้เสียหายไม่พบต้นฉบับชุดฝากเงินสด-เช็ค มีแต่สำเนาระบุจำนวนเงินฝาก 20,000 บาท ตามเอกสารหมาย จ.15 ซึ่งจำเลยก็เบิกความยอมรับว่าเอกสารหมาย จ.12 จ.14 และ จ.18 ดังกล่าวต้นฉบับและสำเนาระบุยอดเงินนำเข้าฝากไม่ตรงกัน เพราะต้นฉบับเดิมยับหรือไม่เรียบร้อย จำเลยจึงเขียนขึ้นใหม่ ทำให้เชื่อได้ว่าจำเลยได้ทำลายต้นฉบับชุดฝากเงินสด-เช็ค 4 ฉบับ อันเป็นหลักฐานของธนาคารผู้เสียหาย ซึ่งจำเลยจะต้องนำไปลงบัญชีในเครื่องคอมพิวเตอร์เพื่อแสดงยอดเงินฝากของโจทก์ร่วม จำเลยไม่มีสิทธิจะทำลายต้นฉบับดังกล่าว การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานทำลายเอกสารของผู้อื่นตามฟ้อง
สำหรับข้อหายักยอกทรัพย์นั้น โจทก์และโจทก์ร่วม มีโจทก์ร่วมนายไตรรงค์สมุห์บัญชีธนาคารผู้เสียหาย สาขาท่าชนะ และนายทวีศักดิ์ จารุวัชรวรรณ ผู้ตรวจสอบบัญชีธนาคารผู้เสียหายเบิกความเป็นพยานได้ความว่า จำเลยได้ยักยอกเงินฝากของโจทก์ร่วมรวม 9 ครั้ง เป็นจำนวนเงิน 140,000 บาท โดยจำเลยได้แก้ไขจำนวนเงินในต้นฉบับชุดฝากเงินสด-เช็ค รวม 5 ฉบับ ให้จำนวนเงินน้อยลงกว่าความเป็นจริง ปรากฏตามเอกสารหมาย จ.6 จ.8 จ.10 จ.16 และ จ.20 และจำเลยได้เขียนต้นฉบับชุดฝากเงินสด-เช็คขึ้นมาใหม่รวม 3 ฉบับ ระบุจำนวนเงินฝากน้อยกว่าจำนวนเงินที่โจทก์ร่วมนำมาฝากตามเอกสารหมาย จ.12 จ.14 และ จ.18 แล้วจำเลยนำเงินลงบัญชีกระแสรายวันของโจทก์ร่วมตามจำนวนเงินในต้นฉบับชุดฝากเงินสด-เช็คที่จำเลยแก้ไขและทำขึ้นใหม่ และการฝากเงินในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2537 มีแต่สำเนาชุดฝากเงินสด-เช็ค ระบุจำนวนเงินฝาก 20,000 บาท ตามเอกสารหมาย จ.15 แต่จำเลยไม่นำเงินฝากเข้าบัญชีกระแสรายวันของโจทก์ร่วม เห็นว่า โจทก์และโจทก์ร่วมมีพยานบุคคลและพยานเอกสารประกอบทำให้มีน้ำหนักรับฟัง ส่วนที่จำเลยนำสืบอ้างว่า โจทก์ร่วมอนุญาตให้จำเลยนำเงินเพื่อฝากเข้าบัญชีกระแสรายวันของโจทก์ร่วมจ่ายชำระให้แก่ผู้นำเช็คของโจทก์ร่วมมาเรียกเก็บเงินไปก่อนได้โดยไม่ต้องลงบัญชีเงินที่นำมาฝากและเช็คที่นำมาเรียกเก็บเงินให้ลงบัญชีเฉพาะเงินคงเหลือ ซึ่งตามเอกสารหมาย จ.6 จ.8 จ.10 จ.16 และ จ.20 จำเลยได้เขียนรายละเอียดลงไปในต้นฉบับและสำเนา แต่ก่อนมีการลงบัญชีและส่งมอบเงินให้สมุห์บัญชีนั้นเมื่อมีผู้นำเช็คของโจทก์ร่วมมาเรียกเก็บเงินก็จะจ่ายเงินไปตามเช็คนั้น ยอดเงินคงเหลือจะนำส่งสมุห์บัญชีพร้อมกับแก้จำนวนเงินที่รับฝากในต้นฉบับให้ตรงกับยอดเงินคงเหลือของโจทก์ร่วม โดยจำเลยมิได้ยักยอกเงินของโจทก์ร่วมนั้น เห็นว่า เป็นข้อกล่าวอ้างลอย ๆ ไม่มีพยานสนับสนุน ไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์และโจทก์ร่วมได้ เชื่อได้ว่า จำเลยได้เบียดบังเงินจำนวนดังกล่าวไป 9 ครั้ง เป็นจำนวนเงิน 140,000 บาท โดยทุจริตจริงจึงเป็นความผิดฐานยักยอกทรัพย์ การที่จำเลยเป็นพนักงานธนาคารมีหน้าที่รับฝาก-ถอนเงินให้แก่ลูกค้าของธนาคารผู้เสียหายซึ่งเป็นผู้มีอาชีพอันย่อมเป็นที่ไว้วางใจของประชาชนจึงต้องรับโทษหนักขึ้นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 354
ส่วนฎีกาจำเลยในข้อกฎหมายที่ว่า นางขวัญใจ หะยีหมาดไม่ใช่ผู้เสียหายไม่มีอำนาจยื่นคำร้องขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมกับพนักงานอัยการโจทก์นั้น เห็นว่า ไม่ว่านางขวัญใจจะเป็นผู้เสียหายตามที่จำเลยฎีกาหรือไม่ ก็ไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลงไปจึงไม่จำเป็นต้องวินิจฉัย ฎีกาจำเลยทุกข้อฟังไม่ขึ้น แต่ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 วางโทษจำคุกจำเลยกระทงละ 1 ปี รวมจำคุก 9 ปีนั้นหนักเกินไป ศาลฎีกาเห็นสมควรกำหนดโทษให้เบาลง”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษจำคุกจำเลยกระทงละ 6 เดือนรวม 9 กระทงรวมจำคุก 4 ปี 6 เดือน เมื่อลดโทษให้หนึ่งในสามแล้ว คงจำคุก 3 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3

Share