คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 359/2542

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้ ม.ผู้ขายรถยนต์คันพิพาทให้แก่โจทก์จะไม่มีกรรมสิทธิ์ในรถยนต์คันพิพาท ไม่อาจโอนขายให้โจทก์ได้ก็ตาม แต่โจทก์ได้รับโอนรถยนต์คันพิพาทมาโดยสุจริตเสียค่าตอบแทน มีการโอนทะเบียนรถยนต์โดยเปิดเผย โจทก์ได้ยึดถือรถยนต์ คันพิพาทไว้ โดยเจตนาจะยึดถือเพื่อตน มีการแจ้งย้าย ทะเบียนรถยนต์ไปยังภูมิลำเนาของโจทก์และครอบครอง ใช้ประโยชน์รถยนต์คันพิพาทตลอดมา โจทก์ย่อมมีสิทธิ ครอบครองรถยนต์คันพิพาทตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1367 โจทก์จึงมีสิทธิใช้สอย และได้รับประโยชน์จากรถยนต์คันพิพาท มีสิทธิให้ปลดเปลื้องการรบกวนการครอบครองโดยมิชอบด้วยกฎหมาย ตามมาตรา 1374 มีสิทธิโอนสิทธิครอบครองตามมาตรา 1378 และอาจได้กรรมสิทธิ์ในรถยนต์คันพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ตามมาตรา 1382หากมีวินาศภัยเกิดขึ้นแก่รถยนต์คันพิพาทในระหว่างที่อยู่ในความครอบครองของโจทก์ โจทก์ย่อมได้รับความเสียหายต้องขาดประโยชน์ในการใช้สอยรถยนต์คันพิพาทไปจากที่เคยได้รับ เป็นปกติ ทั้งผู้มีสิทธิเอาประกันภัยนั้นมิได้จำกัดเพียงเฉพาะผู้มีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์ที่เอาประกันภัยเท่านั้น ผู้ที่มีความสัมพันธ์อยู่กับทรัพย์หรือสิทธิหรือผลประโยชน์หรือรายได้ใด ๆ ซึ่งถ้ามีวินาศภัยเกิดขึ้นจะทำให้ผู้นั้นต้องเสียหายและความเสียหายที่ผู้นั้นจะได้รับสามารถประมาณเป็นเงินได้แล้ว ผู้นั้นย่อมเป็นผู้มีส่วนได้เสียที่อาจเอาประกันภัยได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 863 โจทก์เป็นผู้มีส่วนได้เสียในการยึดถือครอบครองใช้ประโยชน์ จากรถยนต์คันพิพาท โจทก์จึงมีสิทธิเอาประกันภัยรถยนต์ดังกล่าว ไว้แก่จำเลย โดยมิต้องคำนึงถึงว่ากรรมสิทธิ์ในรถยนต์ คันพิพาทเป็นของโจทก์หรือไม่ เมื่อรถยนค์ คันพิพาทที่ เอาประกันภัยได้สูญหายไป โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องเรียกร้องให้จำเลยผู้รับประกันภัยใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์ตามสัญญาประกันภัยได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 239,040.41 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงิน210,000 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระหนี้เสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่มีส่วนได้เสียตามกฎหมายสัญญาประกันภัยจึงไม่สมบูรณ์ กรมธรรม์ประกันภัยเป็นโมฆะ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์จำนวน210,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ 5 พฤศจิกายน 2527 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระหนี้เสร็จแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติโดยคู่ความมิได้ฎีกาโต้แย้งว่า รถยนต์คันพิพาทมีหมายเลขทะเบียนที่แท้จริง คือ1ข-9466 กรุงเทพมหานคร เป็นของนายยูกิโอะ ยามาโมโตประธานกรรมการบริษัทไทยเซโรแกรฟฟิคซิสเท็ม จำกัดซื้อมาจากบริษัทวรจักรยนต์ จำกัด เมื่อวันที่ 12 มกราคม 2527นายยูกิโอะได้เอาประกันภัยรถยนต์คันพิพาทไว้แก่บริษัทไตโชมารีนแอนด์ไฟร์ อินชัวรันส์ จำกัด ในนามของบริษัทไทยเซโรแกรฟฟิคซิสเท็ม จำกัด ในวงเงิน 500,000 บาทตามเอกสารหมาย ล.1 ต่อมาวันที่ 13 กรกฎาคม 2527รถยนต์คันพิพาทถูกคนร้ายลักไป หลังจากนั้นมีผู้ปลอมทะเบียนรถยนต์คันพิพาทเป็นหมายเลขทะเบียน ก-1423 จันทบุรี และปลอมลายมือชื่อนายทะเบียนยานพาหนะจังหวัดจันทบุรีแจ้งย้ายทะเบียนรถยนต์คันพิพาทไปที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยาระบุชื่อนายมงคล สุประดิษฐ์ เป็นเจ้าของรถได้หมายเลขทะเบียนก-2069 พระนครศรีอยุธยา ต่อมาเมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2527โจทก์ได้ซื้อรถยนต์คันพิพาทจากนายมงคลในราคา 220,000 บาทและโอนทะเบียนที่แผนกทะเบียนยานพาหนะจังหวัดพระนครศรีอยุธยาในวันเดียวกัน โดยระบุราคาซื้อขายเป็นจำนวนเงิน 140,000 บาทโจทก์ได้แจ้งย้ายทะเบียนรถยนต์คันพิพาทจากจังหวัดพระนครศรีอยุธยาไปยังจังหวัดนครปฐม ซึ่งเป็นภูมิลำเนาโจทก์ได้หมายเลขทะเบียนใหม่เป็น ก-4833 นครปฐม วันที่ 10 กันยายน 2527 โจทก์ได้เอาประกันภัยรถยนต์คันพิพาทไว้แก่จำเลยเพื่อประกันวินาศภัยอันเกิดจากการลักทรัพย์ในวงเงิน 200,000 บาท และสำหรับอุปกรณ์ประจำรถยนต์อันได้แก่เครื่องปรับอากาศ วิทยุ ล้อแม็กซ์ ในวงเงิน 10,000 บาทมีอายุการประกันภัย 1 ปี นับแต่วันที่ 10 กันยายน 2527 ถึงวันที่ 10 กันยายน 2528 โจทก์ชำระเบี้ยประกันภัยแก่จำเลยแล้วต่อมาวันที่ 4 พฤศจิกายน 2527 รถยนต์คันพิพาทหายไปโจทก์ติดต่อให้จำเลยชำระเงินจำนวน 210,000 บาท ตามสัญญาประกันภัยแล้ว จำเลยไม่ชำระอ้างว่าโจทก์ไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์รถยนต์คันพิพาท
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์มีว่า โจทก์เป็นผู้มีส่วนได้เสียในเหตุที่เอาประกันภัยรถยนต์คันพิพาทหรือไม่ เห็นว่าแม้นายมงคลผู้ขายรถยนต์คันพิพาทให้แก่โจทก์จะไม่มีกรรมสิทธิ์ในรถยนต์คันพิพาท ไม่อาจโอนขายให้โจทก์ได้ก็ตาม แต่ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์ได้รับโอนรถยนต์คันพิพาทมาโดยสุจริตเสียค่าตอบแทนมีการโอนทะเบียนรถยนต์โดยเปิดเผย โจทก์ได้ยึดถือรถยนต์คันพิพาทไว้โดยเจตนาจะยึดถือเพื่อตน มีการแจ้งย้ายทะเบียนรถยนต์จากจังหวัดพระนครศรีอยุธยาไปยังจังหวัดนครปฐม ซึ่งเป็นภูมิลำเนาของโจทก์ และครอบครองใช้ประโยชน์รถยนต์คันพิพาทตลอดมา โจทก์ย่อมมีสิทธิครอบครองรถยนต์คันพิพาทตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1367 โจทก์จึงมีสิทธิใช้สอยและได้รับประโยชน์จากรถยนต์คันพิพาท มีสิทธิให้ปลดเปลื้องการรบกวนการครอบครองโดยมิชอบด้วยกฎหมาย ตามมาตรา 1374มีสิทธิโอนสิทธิครอบครองตามมาตรา 1378 และอาจได้กรรมสิทธิ์ในรถยนต์คันพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ตามมาตรา 1382จึงเป็นที่เห็นได้ว่าหากมีวินาศภัยเกิดขึ้น แก่รถยนต์คันพิพาทในระหว่างที่อยู่ในความครอบครองของโจทก์โจทก์ย่อมได้รับความเสียหาย คือ ต้องขาดประโยชน์ในการใช้สอยรถยนต์คันพิพาทไปจากที่เคยได้รับเป็นปกติ ทั้งผู้มีสิทธิเอาประกันภัยนั้นมิได้จำกัดเพียงเฉพาะผู้มีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์ที่เอาประกันภัยเท่านั้นผู้ที่มีความสัมพันธ์อยู่กับทรัพย์หรือสิทธิหรือผลประโยชน์หรือรายได้ใด ๆ ซึ่งถ้ามีวินาศภัยเกิดขึ้นจะทำให้ผู้นั้นต้องเสียหายและความเสียหายที่ผู้นั้นจะได้รับสามารถประมาณเป็นเงินได้แล้วผู้นั้นย่อมเป็นผู้มีส่วนได้เสียที่อาจเอาประกันภัยได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 863 โจทก์เป็นผู้มีส่วนได้เสียในการยึดถือครอบครองใช้ประโยชน์จากรถยนต์คันพิพาทโจทก์จึงมีสิทธิเอาประกันภัยรถยนต์ดังกล่าวไว้แก่จำเลย โดยมิต้องคำนึงถึงว่ากรรมสิทธิ์ในรถยนต์คันพิพาทเป็นของโจทก์หรือไม่เมื่อรถยนต์คันพิพาทที่เอาประกันภัยได้สูญหายไป โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องเรียกร้องให้จำเลยผู้รับประกันภัยใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์ตามสัญญาประกันภัยได้
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share