แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
นายดาบตำรวจ จ. เบิกความว่า พยานปลอมตัวไปล่อซื้อเมทแอมเฟตามีนจากจำเลยที่ 2 ตามที่สายลับนัดหมายไว้ เมื่อถึงเวลานัดจำเลยที่ 1 ได้ขับรถยนต์มากับจำเลยที่ 2 จากนั้นจำเลยที่ 2 ลงจากรถเข้ามานั่งเจรจา ซื้อขายเมทแอมเฟตามีนกับพยานในรถยนต์ของพยาน หลังจากที่จำเลยที่ 2 ส่งมอบเมทแอมเฟตามีนและรับเงิน จากพยานแล้วได้กลับไปขึ้นรถยนต์ที่จำเลยที่ 1 ขับ จอดรออยู่แล้ว จำเลยที่ 1 ได้ขับรถยนต์พาจำเลยที่ 2 ออกไป ซึ่งหลังจากที่จับกุมจำเลยทั้งสองได้แล้วได้ตรวจค้น พบธนบัตรที่ใช้ในการล่อซื้อซ่อนอยู่ในเสื้อชั้นในของ จำเลยที่ 2 อีกทั้งจำเลยที่ 1 ก็ให้การปฏิเสธตลอดมาว่า มาส่งจำเลยที่ 2 เท่านั้น พยานหลักฐานของโจทก์ มีเพียงเท่านี้ ยังไม่อาจฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 ร่วมกระทำผิดกับจำเลยที่ 2
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันครอบครองเมทแอมเฟตามีนอันเป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 จำนวน 298 เม็ดน้ำหนักคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ 7.322 กรัม และได้ร่วมกันขายเมทแอมเฟตามีนดังกล่าวให้แก่สายลับที่ล่อซื้อเป็นเงิน 25,500 บาท เป็นของกลาง ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518 มาตรา 4, 5, 6,13 ทวิ, 62, 89, 106, 106 ทวิ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ริบเมทแอมเฟตามีนของกลาง
จำเลยที่ 1 ให้การปฏิเสธ ส่วนจำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518 มาตรา 13 ทวิ วรรคหนึ่ง, 62 วรรคหนึ่ง, 89, 106 ทวิประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทแต่ละบทมีอัตราโทษเท่ากันลงโทษฐานขายเมทแอมเฟตามีนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำเลยที่ 1 อายุ 18 ปี ลดมาตราส่วนโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 76 จำคุก 8 ปี ส่วนจำเลยที่ 2จำคุก 12 ปี จำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาคดีมีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 จำคุก 6 ปี ริบเมทแอมเฟตามีนของกลาง
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า ตามวันเวลาเกิดเหตุพันตำรวจตรีศรีชาติ แสงงาม กับพวกได้จับจำเลยทั้งสองนำส่งพนักงานสอบสวนพร้อมด้วยเมทแอมเฟตามีนจำนวน 298 เม็ด และธนบัตรจำนวน 25,500 บาท เป็นของกลางคดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์เพียงประการเดียวว่าจำเลยที่ 1 ร่วมกระทำผิดกับจำเลยที่ 2 ตามฟ้องโจทก์หรือไม่โจทก์มีนายดาบตำรวจจำลอง เบิกความว่า พยานปลอมตัวไปล่อซื้อเมทแอมเฟตามีนจากจำเลยที่ 2 โดยขับรถยนต์เก๋งยี่ห้อเบนซ์สีขาวไปจอดรอจำเลยที่ 2 ตามที่สายลับนัดหมายไว้เมื่อถึงเวลานัดจำเลยที่ 1 ได้ขับรถยนต์กระบะยี่ห้อมิตซูบิซิป้ายแดงมากับจำเลยที่ 2 แล้วได้ขับมาจอดเทียบคู่กับรถยนต์ของพยาน จากนั้นจำเลยที่ 2 ตกลงขายเมทแอมเฟตามีนให้แก่พยานจำนวน 298 เม็ด ในราคา 25,500 บาท หลังจากที่จำเลยที่ 2 ส่งมอบเมทแอมเฟตามีนและรับเงินจากพยานแล้วได้กลับไปขึ้นรถยนต์ที่จำเลยที่ 1 ขับจอดรออยู่แล้ว จำเลยที่ 1 ได้ขับรถยนต์พาจำเลยที่ 2 ออกไป และโจทก์ยังมีพันตำรวจตรีศรีชาติและนายดาบตำรวจลำดวน นำไทย เบิกความว่า หลังจากที่พยานจับกุมจำเลยทั้งสองได้แล้ว ได้ขอทำการตรวจค้นปรากฏว่าพบธนบัตรที่ใช้ในการล่อซื้อซ่อนอยู่ในเสื้อชั้นในของจำเลยที่ 2 พยานโจทก์มีเพียงเท่านี้โดยไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ได้ร่วมรู้เห็นในการขายเมทแอมเฟตามีนของจำเลยที่ 2 ด้วย หรือร่วมกระทำผิดกับจำเลยที่ 2 นอกจากนั้นจากการสืบสวนของเจ้าพนักงานตำรวจก็ไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ได้ร่วมขายเมทแอมเฟตามีนหรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับจำเลยที่ 2 แต่อย่างใด อีกทั้งจำเลยที่ 1 ก็ให้การปฏิเสธตลอดมาว่ามาส่งจำเลยที่ 2 เท่านั้น ส่วนที่โจทก์ฎีกาว่าตามภาพถ่ายหมาย จ.3 รถยนต์ของจำเลยที่ 1 เป็นรถยนต์ใหม่ป้ายแดง ไม่น่าเชื่อว่าจำเลยที่ 1 จะรับจ้างเพื่อหวังเงินค่าจ้างเพียง 100 บาทนั้น เห็นว่า แม้รถยนต์ของจำเลยที่ 1 จะเป็นรถยนต์ใหม่ป้ายแดงก็ไม่ใช่ว่าจะไม่สามารถนำมาขับรับจ้างพยานหลักฐานของโจทก์มีเพียงเท่านี้ ยังไม่อาจฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 ร่วมกระทำผิดกับจำเลยที่ 2 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1พิพากษายกฟ้องจำเลยที่ 1 นั้นชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน