คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6603/2541

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ขณะเกิดเหตุมีคนร้ายลักเงินสดจำนวน 1,400 บาทของผู้เสียหายไปโดยสุจริต และโดยฉกฉวยไปซึ่งหน้าผู้เสียหาย การที่จำเลยทั้งสองได้วิ่งไปพร้อมกับม. คนร้ายอีกคนหนึ่ง ในช่วงระยะเวลาที่คนร้ายได้หยิบเงินของผู้เสียหายโดยฉกฉวยไป แม้ไม่ปรากฏว่าผู้ใดเป็นคนที่หยิบเงินของผู้เสียหายไปก็ตาม แต่เมื่อจำเลยทั้งสองหรือม. คนใดคนหนึ่งเป็นผู้หยิบเงินของผู้เสียหายไป โดยก่อนการกระทำผิด จำเลยทั้งสองกับม. ได้เดินผ่านหน้าร้านของผู้เสียหายหลายรอบ แล้วแยกกัน อยู่ด้านหน้าและด้านหลังของผู้เสียหาย จากนั้นจึงลงมือ กระทำผิดแล้วพากันวิ่งหนีพร้อมกันไปเช่นนี้ แสดงให้เห็นชัดแจ้งว่าจำเลยทั้งสองกับ ม. มีเจตนาร่วมกันกระทำผิดมาตั้งแต่เริ่มก่อนการกระทำผิดแล้ว จำเลยทั้งสอง จึงเป็นตัวการในการกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 336ประกอบมาตรา 83

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2539 เวลากลางวันจำเลยทั้งสองกับพวกอีกคนหนึ่งซึ่งยังไม่ได้ตัวมาฟ้องร่วมกันลักเงินสดจำนวน 1,400 บาท ของนายมะแซ ดอเลาะผู้เสียหายไปโดยทุจริต โดยฉกฉวยไปซึ่งหน้า ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 336, 83 กับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้เงินสดจำนวน 1,400 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 336, 83 ให้จำคุกคนละ 2 ปี จำเลยที่ 2 อายุไม่เกิน 17 ลดมาตราส่วนโทษให้กึ่งหนึ่ง เป็นจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 1 ปี ลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุกจำเลยที่ 1มีกำหนด 1 ปี 4 เดือน จำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 8 เดือนให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้เงินสดจำนวน 1,400 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 1 ปี 6 เดือน จำเลยที่ 2 มีอายุไม่เกิน 17 ปีลดมาตราส่วนโทษให้กึ่งหนึ่งแล้ว จำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 9 เดือนลดโทษให้จำเลยทั้งสองคนละหนึ่งในสาม คงจำคุกจำเลยที่ 1มีกำหนด 1 ปี จำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 6 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยทั้งสองฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุในฟ้องมีคนร้ายลักเงินสดจำนวน 1,400 บาทของผู้เสียหายไปโดยทุจริตและโดยฉกฉวยไปซึ่งหน้าผู้เสียหายคดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองว่าจำเลยทั้งสองกระทำผิดตามฟ้องหรือไม่ โจทก์มีผู้เสียหายเบิกความว่าพยานมีอาชีพขายยาปะสังกะสีที่ตลาดเสรี วันเกิดเหตุพยานขายของตามปกติ เวลาประมาณ 14 นาฬิกา เห็นเด็กชายวัยรุ่น3 คน เดินไปมาหน้าร้านพยาน 4 ถึง 5 รอบ วัยรุ่นดังกล่าวส่ายตามาดูที่พยานขายของ พยานจำวัยรุ่นดังกล่าวได้คือจำเลยที่ 1ที่ 2 เป็นเด็ก 2 ใน 3 คนที่เห็น ต่อมาได้แยกกันอยู่ด้านหน้าพยาน2 คน คือจำเลยที่ 1 ที่ 2 และด้านหลัง 1 คน จำเลยที่ 1 ที่ 2มาหยิบเงิน ใครจะเป็นคนเอามือหยิบจำไม่ได้ จำเลยทั้งสองหยิบเงินไป 1,400 บาท ขณะเกิดเหตุพยานกำลังนับเงินในกระเป๋าอกเสื้อ พยานยืนขึ้นวิ่งไล่ตามแล้วล้มลง พยานไม่ได้ร้องตะโกน แน่นหน้าอกเป็นลมสลบไป เมื่อพยานรู้สึกหายเหนื่อยแล้วไปแจ้งความตำรวจ ตำรวจอยู่ที่มุมไฟแดงหน้าสถานีรถไฟ ต่อมาทราบว่าสามารถจับกุมคนร้ายได้ 2 คน คนร้ายที่ ตำรวจจับกุมได้คือ จำเลยที่ 1 ที่ 2 ตำรวจได้พาพยานไปชี้ตัวคนร้าย พยานยืนยันว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 เป็นคนร้ายที่หยิบเงินของพยานไปเงินที่ถูกลักไปไม่ได้คืน เห็นว่า ผู้เสียหายไม่เคยรู้จักจำเลยทั้งสองมาก่อน จึงไม่มีเหตุที่ผู้เสียหายจะกล่าวปรักปรำจำเลยทั้งสอง ทั้งขณะเกิดเหตุเป็นเวลากลางวัน และก่อนเกิดเหตุจำเลยทั้งสองกับพวกได้เดินไปมาอยู่หน้าร้านผู้เสียหาย 4 ถึง5 รอบ ผู้เสียหายย่อมมีโอกาสสังเกตจดจำจำเลยทั้งสองได้นอกจากนั้นเมื่อเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจำเลยทั้งสองได้ในระยะเวลาใกล้เคียงกับตอนเกิดเหตุ ผู้เสียหายได้ยืนยันว่าคนที่อาสาไปตามเพื่อนเป็นบุคคลคนเดียวกับที่เจ้าพนักงานตำรวจจับกุมก็ไม่เป็นข้อพิรุธว่าผู้เสียหายจะจำคนร้ายผิดคนหรือเป็นการปรักปรำจำเลยทั้งสอง หรือจำเลยทั้งสองมิใช่คนร้าย เนื่องจากผู้เสียหายได้ตอบโจทก์ถามติงไว้ว่า เหตุที่ตอบทนายจำเลยไปเนื่องจากล่ามแปลแล้วเกิดความไม่เข้าใจ ซึ่งแสดงอย่างชัดแจ้งว่าผู้เสียหายยืนยันจำเลยทั้งสองเป็นคนร้าย มิใช่คนเดียวกับคนที่อาสาผู้เสียหายไปตามเพื่อน คำเบิกความของผู้เสียหายจึงมีน้ำหนักเชื่อถือได้ว่าเบิกความไปตามความเป็นจริงและแม้ผู้เสียหายจะไม่ยืนยันว่า จำเลยคนใดเป็นคนหยิบเงินของผู้เสียหายไปก็ตามแต่ก็ได้ความว่าจำเลยทั้งสองได้ให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมว่าได้ร่วมกับพวกที่หลบหนีไปวิ่งราวทรัพย์ของผู้อื่นตามบันทึกการจับกุมเอกสารหมาย จ.1 ซึ่งจำเลยทั้งสองได้ลงชื่อไว้โดยจำเลยที่ 1 มิได้โต้แย้งบันทึกการจับกุมดังกล่าวส่วนจำเลยที่ 2 คงระบุแต่เพียงว่า เจ้าพนักงานตำรวจได้ให้พยานเซ็นชื่ออย่างเดียวไม่ได้อ่านให้พยานฟังนั้นไม่ได้ความแน่ชัดว่าให้จำเลยที่ 2 ลงชื่อในหนังสือหรือเอกสารใดดังนั้น จึงรับฟังได้ว่า บันทึกการจับกุมเอกสารหมาย จ.1จำเลยทั้งสองได้ลงชื่อไว้และให้การรับสารภาพด้วยความสมัครใจย่อมนำมาพิจารณาประกอบได้ นอกจากนั้นยังได้ความจากร้อยตำรวจตรีสนั่น สุระวิทย์ พนักงานสอบสวนว่าได้แจ้งข้อหาว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันวิ่งราวทรัพย์ จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพซึ่งคำให้การของจำเลยทั้งสองในชั้นสอบสวนตามบันทึกคำให้การของผู้ต้องหาเอกสารหมาย จ.3 และ จ.4 แม้จะไม่ได้ความชัดแจ้งว่าเป็นการให้การรับสารภาพ เนื่องจากจำเลยทั้งสองไม่ยอมรับว่าเป็นคนหยิบเงินของผู้เสียหายโดยฉกฉวยไป แต่เป็นการกระทำของนายมะนาเซคนร้ายอีกคนหนึ่ง โดยจำเลยทั้งสองมิได้วางแผนกับนายมะนาเซก่อนก็ตามแต่ก็ได้ความว่าจำเลยทั้งสองได้วิ่งไปพร้อมกับนายมะนาเซซึ่งตรงกับช่วงระยะเวลาที่ผู้เสียหายยืนยันว่าคนร้ายได้หยิบเงินของผู้เสียหายโดยฉกฉวยไปดังนี้ แม้ผู้เสียหายไม่ยืนยันว่าคนใดเป็นคนที่หยิบเงินของผู้เสียหายไป ก็ตาม พฤติการณ์ดังกล่าวก็รับฟังได้ว่าจำเลยทั้งสองกับนายมะนาเซคนใดคนหนึ่งเป็นผู้หยิบเงินของผู้เสียหายไปเมื่อคนหนึ่งเป็นผู้หยิบเงินของผู้เสียหายไป โดยก่อนการกระทำผิดจำเลยทั้งสองกับนายมะนาเซได้เดินผ่านหน้าร้านของผู้เสียหายหลายรอบ แล้วแยกกันอยู่ด้านหน้าและด้านหลังของผู้เสียหายจากนั้นจึงลงมือกระทำผิดแล้วพากันวิ่งหนีพร้อมกันไปเช่นนี้แสดงให้เห็นชัดแจ้งว่าจำเลยทั้งสองกับนายมานะเซมีเจตนาร่วมกันกระทำผิดมาตั้งแต่เริ่มก่อนการกระทำผิดแล้วและได้ร่วมกันเป็นตัวการในการกระทำความผิดด้วย พยานหลักฐานโจทก์ดังกล่าวมามีน้ำหนักรับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยทั้งสองได้ร่วมกับพวกกระทำผิดตามฟ้อง ส่วนจำเลยทั้งสองนำสืบว่ามิได้ร่วมกระทำผิด แต่เป็นผู้ไปติดตามนายมะนาเซที่วิ่งราวทรัพย์ของผู้เสียหายไปนั้นไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานโจทก์ได้
พิพากษายืน

Share