คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6350/2541

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้ส. ผู้จะขายได้ทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินทั้ง 8 แปลงในขณะที่ส.เป็นปกติอยู่ก็ตาม แต่ในช่วงระยะเวลาที่ส. จะต้องไปโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินขายให้แก่ผู้จะซื้อ ตามสัญญาจะซื้อขายปรากฏว่า ส. ได้ถูกศาลมีคำสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถและให้อยู่ในความอนุบาลของผู้ร้องแล้ว ดังนั้น เมื่อผู้ร้องซึ่งเป็นผู้อนุบาลประสงค์ปฏิบัติตามสัญญาจะซื้อขายโดยดำเนินการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินทั้ง 8 แปลง ขายให้ผู้จะซื้อ ผู้ร้องจึงต้องได้รับอนุญาตจากศาลก่อน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 28 วรรคสอง และ 1574(1) ประกอบมาตรา 1598/18 วรรคสอง แม้สัญญาจะซื้อขายที่ส. ทำขึ้นเป็นโมฆียะกรรมก็ตามแต่ผู้ร้องในฐานะผู้อนุบาลซึ่งมีสิทธิบอกล้างนิติกรรมอันเป็นโมฆียะมิได้บอกล้างต่อผู้จะซื้อ ทั้งผู้ร้องยังได้แสดงเจตนาขอทำนิติกรรมซื้อขายที่ดินดังกล่าวแทนส. ซึ่งถูกศาลมีคำสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถ และให้อยู่ในความอนุบาลของผู้ร้อง โดยผู้ร้องไปติดต่อเจ้าหน้าที่ที่ดินและยื่นคำร้องขอต่อศาลเพื่อขอทำนิติกรรมโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินขายแทนส. พฤติการณ์ดังกล่าวถือได้ว่าผู้ร้องได้ให้สัตยาบันแก่สัญญาจะซื้อขายซึ่งเป็นโมฆียะกรรมโดยการแสดงเจตนาแก่ผู้จะซื้อ ซึ่งเป็นคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งแล้วตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 178 สัญญาจะซื้อขายจึงเป็นอันสมบูรณ์มาแต่เริ่มแรก ตามมาตรา 177 ซึ่งมีผลผูกพันที่ผู้ร้องจะต้องปฏิบัติตามสัญญา โดยผู้ร้องจะต้องดำเนินการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินของ ส. ขายให้แก่ผู้จะซื้อ เป็นเหตุให้ผู้ร้องจะต้องปฏิบัติตาม ข้อกำหนดในสัญญาจะซื้อขาย อีกทั้งบุตรของ ส.อีก 2 คน ที่แถลงต่อศาลชั้นต้นว่าทราบรายละเอียดในคดีนี้แล้วไม่ค้านตลอดจนศาลได้คำนึงถึงราคาซื้อขายที่ดินดังกล่าวแล้วเห็นได้ว่าราคาซื้อขายที่ดินดังกล่าวอยู่ในเกณฑ์เหมาะสมและเมื่อพิจารณาถึงการจะไม่อนุญาตให้ผู้ร้องขายที่ดินของส.ซึ่งอาจจะเป็นผลเสียหายต่อส. เนื่องจากไม่สามารถปฏิบัติตามสัญญาจะซื้อขายได้ ดังนั้น การขายที่ดินของส.ให้แก่ผู้จะซื้อตามสัญญาจะซื้อขายถือได้ว่า มีเหตุจำเป็นและสมควร อีกทั้งเป็นประโยชน์ต่อส. จึงชอบที่ศาลจะมีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องในฐานะผู้อนุบาลของส.คนไร้ความสามารถขายที่ดินของส. ได้ (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 2/2541)

ย่อยาว

ผู้ร้องยื่นคำร้องขอว่า ผู้ร้องเป็นบุตรของนางสุจิตรา เสมเสริมบุญ เมื่อปี 2530 นางสุจิตรา เสมเสริมบุญได้ป่วยเป็นโรคเส้นเลือดในสมองตีบทำให้สมองฝ่อและเสื่อมหลงลืม กับมีอาการทางจิตมีอารมณ์เปลี่ยนแปลงแปรง่ายได้ทำการรักษาแล้วแต่แพทย์ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้จนเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2540 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้นางสุจิตรา เสมเสริมบุญ เป็นคนไร้ความสามารถและให้อยู่ในความอนุบาลของผู้ร้อง ขณะที่นางสุจิตรา เสมเสริมบุญมีอาการเป็นปกติอยู่นั้น นางสุจิตรา เสมเสริมบุญ เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 168713, 168714, 169978, 169979, 167811, 60944, 25597, 25598 ตำบลบางตลาด อำเภอปากเกร็ดจังหวัดนนทบุรี เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2539นางสุจิตรา เสมเสริมบุญ ได้ทำสัญญาจะขายที่ดินทุกแปลงพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้แก่นางสุจิตรา สงวนปิยะพันธ์ ผู้จะซื้อในราคา97,000,000 บาท โดยรับเงินมัดจำไว้แล้ว 10,000,000 บาทกำหนดโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินในวันที่ 28 เมษายน 2540 หากผู้จะขายไม่ไปจดทะเบียนขายภายในกำหนด ผู้จะขายยอมให้ผู้จะซื้อบังคับตามสัญญาและยอมใช้ค่าเสียหาย 10,000,000 บาท แก่ผู้จะซื้อผู้ร้องไปติดต่อเจ้าหน้าที่ที่ดินที่สำนักงานที่ดินจังหวัดนนทบุรีสาขาปากเกร็ด เพื่อจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินดังกล่าวให้แก่ผู้จะซื้อตามสัญญา แต่เจ้าหน้าที่ที่ดินไม่อาจดำเนินการให้ได้เว้นแต่ศาลมีคำสั่งอนุญาต ขอให้ศาลมีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องทำนิติกรรมแทนนางสุจิตรา เสมเสริมบุญ คนไร้ความสามารถ
ศาลชั้นต้นประกาศนัดไต่สวนแล้ว ไม่มีผู้ใดคัดค้าน
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ผู้ร้องเป็นบุตรนางสุจิตรา เสมเสริมบุญ กับนายจำรูญ เสมเสริมบุญมีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันคือนายเมธ เสมเสริมบุญและนายจาตุรันต์ เสมเสริมบุญ ปัจจุบันนายจำรูญ เสมเสริมบุญถึงแก่กรรมไปแล้ว เมื่อปี 2530 นางสุจิตรา เสมเสริมบุญป่วยเป็นโรคเส้นเลือดในสมองตีบ ทำให้สมองฝ่อและเสื่อมหลงลืมมีอาการทางจิต มีอารมณ์เปลี่ยนแปลงแปรง่ายได้ทำการรักษาแล้วแต่แพทย์ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ จนเมื่อวันที่5 กุมภาพันธ์ 2540 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้นางสุจิตรา เสมเสริมบุญเป็นคนไร้ความสามารถและให้อยู่ในความอนุบาลของผู้ร้องก่อนศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้นางสุจิตรา เสมเสริมบุญเป็นคนไร้ความสามารถ นางสุจิตรา เสมเสริมบุญ เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 168713, 168714, 169978, 169979,167811, 60944, 25597 และ 25598 ตำบลบางตลาดอำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี รวม 8 แปลง เมื่อวันที่26 กุมภาพันธ์ 2540 ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ผู้ร้องทำนิติกรรมโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินทั้ง 8 แปลงขายแทนนางสุจิตรา เสมเสริมบุญโดยอ้างว่าขณะที่นางสุจิตรา เสมเสริมบุญมีอาการปกติอยู่นั้นเมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2539นางสุจิตรา เสมเสริมบุญได้ทำสัญญาจะขายที่ดิน 8 แปลงดังกล่าวให้แก่นางสุจิตรา สงวนปิยะพันธ์ ผู้จะซื้อในราคา97,000,000 บาท และรับเงินมัดจำ 10,000,000 บาทจากผู้จะซื้อแล้ว กำหนดจะไปโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินให้แก่ผู้จะซื้อในวันที่ 28 เมษายน 2540 พร้อมกับผู้จะซื้อชำระเงินส่วนที่เหลือทั้งหมด ถ้าผู้จะซื้อผิดสัญญาไม่ไปทำหนังสือสัญญาและจดทะเบียนรับซื้อตามกำหนดผู้จะซื้อยอมให้ผู้จะขายริบมัดจำแต่ถ้าผู้จะขายผิดสัญญาไม่ไปทำหนังสือสัญญาและจดทะเบียนขายตามกำหนดผู้จะขายยอมให้ผู้จะซื้อฟ้องบังคับให้เป็นไปตามสัญญาและยอมใช้ค่าเสียหายให้แก่ผู้จะซื้ออีก 10,000,000 บาท อีกส่วนหนึ่ง
คดีมีปัญหาประการแรกที่ต้องวินิจฉัยว่า การที่ผู้ร้องซึ่งเป็นผู้อนุบาลทำนิติกรรมขายที่ดินแทนนางสุจิตรา เสมเสริมบุญคนไร้ความสามารถ ซึ่งผู้ร้องอ้างว่านางสุจิตรา เสมเสริมบุญทำไว้ในขณะเป็นปกตินั้น ผู้ร้องต้องได้รับอนุญาตจากศาลหรือไม่ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัวโดยมติที่ประชุมใหญ่เห็นว่า แม้ผู้ร้องจะกล่าวอ้างว่านางสุจิตรา เสมเสริมบุญได้ทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินทั้ง 8 แปลง ในขณะที่นางสุจิตรา เสมเสริมบุญ เป็นปกติอยู่ก็ตาม แต่ในช่วงระยะเวลาที่นางสุจิตรา เสมเสริมบุญ จะต้องไปโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินขายให้แก่ผู้จะซื้อตามที่ผู้ร้องกล่าวอ้างในสัญญาจะซื้อขายนั้นเป็นระยะเวลาภายหลังที่นางสุจิตรา เสมเสริมบุญได้ถูกศาลมีคำสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถและให้อยู่ในความอนุบาลของผู้ร้องแล้วดังนั้นเมื่อผู้ร้องซึ่งเป็นผู้อนุบาลประสงค์ปฏิบัติตามสัญญาจะซื้อขายโดยดำเนินการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินทั้ง 8 แปลง ขายให้ผู้จะซื้อผู้ร้องจึงต้องได้รับอนุญาตจากศาลก่อน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 28 วรรคสอง และ1574(1) ประกอบมาตรา 1598/18 วรรคสอง
ปัญหาต่อไปที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาผู้ร้องมีว่า สมควรอนุญาตให้ผู้ร้องขายที่ดินของนางสุจิตรา เสมเสริมบุญ หรือไม่ ในปัญหานี้ผู้ร้องมิได้ฎีกาคัดค้านข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์รับฟังว่าสัญญาจะซื้อขายเอกสารหมาย ร.15 เป็นนิติกรรมที่นางสุจิตรา เสมเสริมบุญ ผู้จะขายเป็นบุคคลวิกลจริตและได้กระทำในขณะที่วิกลจริตอยู่ ทั้งนางสุจิตรา สงวนปิยะพันธ์ผู้จะซื้อได้รู้แล้วด้วยว่านางสุจิตรา เสมเสริมบุญเป็นคนวิกลจริตนิติกรรมสัญญาจะซื้อขายจึงตกเป็นโมฆียะ ข้อเท็จจริงส่วนนี้จึงต้องรับฟังตามที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยไว้ และข้อเท็จจริงดังกล่าวที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยนั้นไม่เป็นเรื่องนอกประเด็นในคำร้องแต่เป็นประเด็นข้อเท็จจริงที่เกี่ยวพันกับประเด็นที่ศาลจะอนุญาตให้ผู้ร้องทำนิติกรรมขายที่ดินของนางสุจิตรา เสมเสริมบุญตามที่ผู้ร้องขอหรือไม่ เห็นว่า แม้สัญญาจะซื้อขายเป็นโมฆียะกรรมก็ตาม แต่ผู้ร้องในฐานะผู้อนุบาลซึ่งมีสิทธิบอกล้างนิติกรรมอันเป็นโมฆียะนั้นมิได้บอกล้างต่อผู้จะซื้อ ทั้งผู้ร้องยังได้แสดงเจตนาขอทำนิติกรรมซื้อขายที่ดินดังกล่าวแทนนางสุจิตรา เสมเสริมบุญโดยการไปติดต่อเจ้าหน้าที่ที่ดินที่สำนักงานที่ดินจังหวัดนนทบุรีสาขาปากเกร็ด และยื่นคำร้องขอต่อศาลเพื่อขอทำนิติกรรมโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินขายแทนนางสุจิตรา เสมเสริมบุญโดยมีนางจงพิศ มัณฑะจิตร ผู้รับมอบอำนาจจากนางสุจิตรา สงวนปิยะพันธ์ ผู้จะซื้อให้เป็นผู้มีอำนาจชี้แจงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการทำสัญญาจะซื้อขายตามหนังสือมอบอำนาจลงวันที่ 17 เมษายน 2540 ได้มาแถลงต่อศาลชั้นต้นว่าประสงค์จะซื้อที่ดินทุกแปลงตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นลงวันที่ 21 เมษายน 2540 พฤติการณ์ดังกล่าวถือได้ว่าผู้ร้องได้ให้สัตยาบันแก่สัญญาจะซื้อขายซึ่งเป็นโมฆียะกรรมโดยการแสดงเจตนาแก่นางสุจิตรา สงวนปิยะพันธ์ ผู้จะซื้อซึ่งเป็นคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งแล้วตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 178สัญญาจะซื้อขายจึงเป็นอันสมบูรณ์มาแต่เริ่มแรก ตามมาตรา 177ซึ่งมีผลผูกพันที่ผู้ร้องจะต้องปฏิบัติตามสัญญาโดยผู้ร้องจะต้องดำเนินการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินของนางสุจิตรา เสมเสริมบุญขายให้แก่ผู้จะซื้อ เมื่อได้พิจารณาถึงสัญญาจะซื้อขายที่ได้ทำขึ้นก่อนที่นางสุจิตรา เสมเสริมบุญ จะถูกศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถซึ่งผู้ร้องในฐานะผู้อนุบาลได้ให้สัตยาบันแล้วอันเป็นผลให้สัญญาจะซื้อขายสมบูรณ์มาแต่เริ่มแรก เป็นเหตุให้ผู้ร้องจะต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดในสัญญาจะซื้อขาย อีกทั้งได้ความว่าราคาซื้อขายที่ดินดังกล่าวอยู่ในเกณฑ์เหมาะสม มิใช่ขายในราคาต่ำเกินสมควรดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย และเมื่อพิจารณาถึงการจะไม่อนุญาตให้ผู้ร้องขายที่ดินของนางสุจิตรา เสมเสริมบุญซึ่งอาจจะเป็นผลเสียหายต่อนางสุจิตรา เสมเสริมบุญ เนื่องจากไม่สามารถปฏิบัติตามสัญญาจะซื้อขายได้ ดังนั้นการขายที่ดินของนางสุจิตรา เสมเสริมบุญ ให้แก่นางสุจิตรา สงวนปิยะพันธ์ผู้จะซื้อตามสัญญาจะซื้อขายถือได้ว่ามีเหตุจำเป็นและสมควร อีกทั้งเป็นประโยชน์ต่อนางสุจิตรา เสมเสริมบุญ ที่ศาลล่างทั้งสองยกคำร้องของผู้ร้องนั้นศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัวโดยมติที่ประชุมใหญ่ไม่เห็นพ้องด้วย
พิพากษากลับ อนุญาตให้ผู้ร้องในฐานะผู้อนุบาลของนางสุจิตรา เสมเสริมบุญ คนไร้ความสามารถขายที่ดินของนางสุจิตรา เสมเสริมบุญ รวม 8 แปลง คือ ที่ดินตามโฉนดเลขที่ 168713, 168714, 169978, 169979, 167811,60944, 25597 และ 25598 ตำบลบางตลาด อำเภอปากเกร็ดจังหวัดนนทบุรี ให้แก่นางสุจิตรา สงวนปิยะพันธ์ ผู้จะซื้อในราคา 97,000,000 บาท

Share