คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6302/2541

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทไว้ว่า ที่ดินของโจทก์ทั้งสองมีทางออกเป็นทางสาธารณะผ่านที่ดินจำเลยทั้งสองหรือไม่ หาได้กำหนดประเด็นข้อพิพาทในเรื่องทางจำเป็นแต่อย่างใด และกรณีที่จะเป็นเรื่องทางจำเป็นนั้นในคำฟ้องต้องปรากฏว่าที่ดินของโจทก์ทั้งสองมีที่ดินแปลงอื่นล้อมอยู่จนไม่มีทางออกถึงทางสาธารณะได้ศาลจึงจะพิจารณาพิพากษาในเรื่องทางจำเป็นให้ได้เมื่อคำฟ้องของโจทก์ทั้งสองมิได้กล่าวอ้างว่าทางเดินพิพาทเป็นทางจำเป็นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1349ทั้งมิได้บรรยายหรือประสงค์ที่จะขอให้ทางพิพาทเป็นทางจำเป็นแต่กลับฟ้องคดีโดยประสงค์ตามคำขอท้ายฟ้องที่จะให้ศาลพิพากษาว่าที่ดินส่วนที่เป็นทางเดินพิพาทในที่ดินของจำเลยเป็นทางสาธารณะ ดังนี้ การที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยฟังว่าทางเดินพิพาทเป็นทางจำเป็นและบังคับให้จำเลยทั้งสองเปิดทางจำเป็นให้แก่โจทก์ทั้งสองนั้นจึงเป็นการพิพากษาเกินคำขอ

ย่อยาว

โจทก์ทั้งสองฟ้องว่า เติมโจทก์ทั้งสองออกสู่ทางสาธารณะโดยผ่านที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.)เลขที่ 346 และ 351 ซึ่งนางพา พาเหมาะ มารดาโจทก์ที่ 1และจำเลยที่ 2 ยกให้เป็นทางสาธารณะกว้างประมาณ 3 เมตรยาวประมาณ 50 เมตร ตั้งแต่ปี 2506 โดยมิได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ต่อมาเมื่อวันที่ 6 เมษายน 2538 ภายหลังจากที่นาง พา ได้ถึงแก่ความตายแล้ว จำเลยทั้งสองปิดกั้นทางสาธารณะดังกล่าวเป็นเหตุให้โจทก์ทั้งสองได้รับความเสียหายไม่สามารถใช้ทางสาธารณะได้ตามปกติ โจทก์ทั้งสองบอกกล่าวให้จำเลยทั้งสองเปิดทางสาธารณะหลายครั้ง แต่จำเลยทั้งสองเพิกเฉย ขอให้ห้ามจำเลยทั้งสองมิให้ปิดกั้นทางสาธารณะดังกล่าว
จำเลยทั้งสองให้การและแก้ไขคำให้การว่า นางพา พาเหมาะมิได้ยกที่ดินให้เป็นทางสาธารณะแต่อย่างใด จำเลยทั้งสองล้อมรั้วและครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินของจำเลยทั้งสองมิได้ปิดกั้นทางสาธารณะ โจทก์ทั้งสองสามารถเข้าออกที่ดินของตนได้โดยมิต้องผ่านที่ดินของจำเลยทั้งสอง โจทก์ทั้งสองจึงไม่ได้รับความเสียหายค่าเสียหายที่โจทก์ทั้งสองเรียกร้องมาสูงเกินควร ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาห้ามจำเลยทั้งสองปิดกั้นทางสาธารณะในที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.)เลขที่ 346ตำบลแสนตอ อำเภอน้ำปาด จังหวัดอุตรดิตถ์ ตามเอกสารหมาย จ.6เส้นจุดไข่ปลาสีแดง เพื่อให้โจทก์ทั้งสองออกสู่ทางสาธารณะและให้จำเลยทั้งสองรื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง เสารั้ว หรือวัสดุอื่นใดซึ่งสร้างปิดกั้นทางสาธารณะดังกล่าว คำขออื่นให้ยก
โจทก์ทั้งสองและจำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า ห้ามจำเลยทั้งสองปิดกั้นทางเดินพิพาทในที่ดินพิพาท เพื่อให้โจทก์ทั้งสองสามารถออกสู่ทางสาธารณะ และให้จำเลยทั้งสองรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างเสารั้ว หรือวัสดุอื่นใดซึ่งสร้างปิดกั้นทางเดินพิพาทนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 2ได้วินิจฉัยฟังข้อเท็จจริงว่า นางพา พาเหมาะ เจ้าของที่ดินเดิมไม่ได้ยกทางเดินพิพาทให้เป็นทางสาธารณะ เนื่องจากไม่ได้ยินยอมให้ประชาชนทั่วไปใช้ทางเดินพิพาทสัญจรไปมาทางเดินพิพาทจึงไม่เป็นทางสาธารณะ โจทก์ทั้งสองมิได้ฎีกาในปัญหาข้อนี้ข้อเท็จจริงจึงยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 ว่าทางเดินพิพาทไม่ใช่ทางสาธารณะ ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองในข้อแรกมีว่าที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยทั้งสองเปิดทางเดินพิพาทในฐานะเป็นทางจำเป็นนั้นเป็นการชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ พิเคราะห์แล้วเห็นว่าคดีนี้โจทก์ทั้งสองฟ้องขอให้จำเลยทั้งสองเปิดทางเดินพิพาทตามแผนที่สังเขปเอกสารท้ายคำฟ้องหมายเลข 5 (เอกสารหมาย จ.6)ภายในเขตเส้นสีแดงในที่ดินของจำเลยที่ 2 ตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 346 และ 351 ตำบลแสนตออำเภอน้ำปาด จังหวัดอุตรดิตถ์ โดยอ้างว่าเป็นทางสาธารณะและให้จำเลยทั้งสองรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างเสารั้ว หรือวัสดุอื่นใดซึ่งสร้างปิดกั้นทางเดินพิพาทออกไป กับขอให้จำเลยทั้งสองชดใช้ค่าเสียหายในอัตราเดือนละ 2,000 บาท แก่โจทก์ทั้งสองจำเลยทั้งสองให้การว่าทางเดินพิพาทดังกล่าวไม่ใช่ทางสาธารณะจำเลยทั้งสองล้อมรั้วทำประโยชน์ในที่ดินของตนไม่ได้ปิดกั้นทางสาธารณะ โจทก์ทั้งสองไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายจากคำฟ้องและคำให้การเห็นได้ว่าเป็นกรณีที่โจทก์จำเลยพิพาทกันเฉพาะทางเดินพิพาทว่าเป็นทางสาธารณะหรือไม่เท่านั้นในข้อนี้จะเห็นได้จากการที่ศาลชั้นต้นได้กำหนดประเด็นข้อพิพาทไว้ว่าที่ดินของโจทก์ทั้งสองมีทางออกเป็นทางสาธารณะผ่านที่ดินจำเลยทั้งสองหรือไม่ หาได้กำหนดประเด็นข้อพิพาทในเรื่องทางจำเป็นแต่อย่างใดไม่และกรณีที่จะเป็นเรื่องทางจำเป็นนั้นในคำฟ้องต้องปรากฏว่าที่ดินของโจทก์ทั้งสองมีที่ดินแปลงอื่นล้อมอยู่จนไม่มีทางออกถึงทางสาธารณะได้ ศาลจึงจะพิจารณาพิพากษาในเรื่องทางจำเป็นให้ได้ เมื่อคำฟ้องของโจทก์ทั้งสองมิได้กล่าวอ้างว่าทางเดินพิพาทเป็นทางจำเป็นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1349ทั้งมิได้บรรยายหรือประสงค์ที่จะขอให้ทางเดินพิพาทเป็นทางจำเป็นแต่กลับฟ้องคดีโดยประสงค์ตามคำขอท้ายฟ้องที่จะให้ศาลพิพากษาว่าที่ดินส่วนที่เป็นทางเดินพิพาทในที่ดินของจำเลยเป็นทางสาธารณะดังนี้ การที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยฟังว่าทางเดินพิพาทเป็นทางจำเป็นและบังคับให้จำเลยทั้งสองเปิดทางจำเป็นให้แก่โจทก์ทั้งสองนั้นจึงเป็นการพิพากษาเกินคำขอไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา คดีไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาของจำเลยทั้งสองในข้ออื่นต่อไป ฎีกาของจำเลยทั้งสองฟังขึ้น”
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ทั้งสอง

Share