แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์เป็นเพียงผู้ถือหุ้น ไม่มีอำนาจกระทำการใด ๆแทนบริษัทจำเลยที่ 1 คงมีสิทธิเพียงควบคุมการดำเนินงานของจำเลยที่ 1 บางประการตามที่กฎหมายบัญญัติไว้เท่านั้นหากอาจก้าวล่วงเข้าไปจัดการงานของจำเลยที่ 1เสียเองได้ไม่ และแม้โจทก์เป็นกรรมการของจำเลยที่ 1ด้วยคนหนึ่งก็ตาม แต่ตามหนังสือรับรองของสำนักทะเบียนหุ้นส่วนบริษัท ลำพังโจทก์เพียงคนเดียวไม่มีอำนาจกระทำการใด ๆ แทนจำเลยที่ 1 ได้โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมการซื้อขายที่ดินระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 และการจำนองที่ดินระหว่างจำเลยที่ 2 กับจำเลยที่ 3 ส่วนปัญหาที่ว่า หากไม่ถือว่าโจทก์เป็นผู้เสียหายก็จะไม่มีใครเป็นผู้เสียหายได้เลยนั้น ในกรณีเช่นนี้ โจทก์และผู้ถือหุ้นคนอื่นสามารถกระทำได้โดยใช้มติที่ประชุมใหญ่ถอดถอนกรรมการชุดเดิมและแต่งตั้งกรรมการชุดใหม่ แล้วให้กรรมการชุดใหม่ดำเนินการแทนจำเลยที่ 1 หรือหากโจทก์และผู้ถือหุ้นคนอื่นเสียหายก็สามารถดำเนินการฟ้องเรียกร้องเอาค่าสินไหมทดแทนจากกรรมการผู้ก่อให้เกิดความเสียหายได้โดยหากบริษัทไม่ฟ้องกรรมการผู้นั้น โจทก์ในฐานะผู้ถือหุ้นจะดำเนินการฟ้องเองได้ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1169 วรรคหนึ่ง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาเพิกถอนสัญญาซื้อขายที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 262, 464, 349หมู่ที่ 3, 4, 3 ตำบลหนองหาร อำเภอสันทราย จังหวัดเชียงใหม่ระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 ฉบับลงวันที่ 25 มิถุนายน 2540และห้ามจำเลยที่ 2 เกี่ยวข้องกับที่ดินดังกล่าว และขอให้เพิกถอนสัญญาจำนองที่ดินดังกล่าวระหว่างจำเลยที่ 2 กับจำเลยที่ 3ฉบับลงวันที่ 25 มิถุนายน 2540
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกาโดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสามหรือไม่ คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นผู้ถือหุ้นและกรรมการของจำเลยที่ 1จำเลยที่ 1 โดยนายเชาวลิตร์ เคนโคกกรวด และนายนาวิน จันทะเพชร ทำสัญญาขายที่ดินของจำเลยที่ 1จำนวน 3 แปลง ให้แก่จำเลยที่ 2 ในราคา 54,000,000 บาทโดยมิได้รับความยินยอมจากโจทก์และผู้ถือหุ้นคนอื่นเป็นการยักยอกทรัพย์ของจำเลยที่ 1 ทั้งเป็นการซื้อขายกันหลอก ๆ มิได้มีการจ่ายเงินกันจริง นิติกรรมการซื้อขายที่ดินดังกล่าวจึงเป็นโมฆะ วันเดียวกันจำเลยที่ 2 นำที่ดินดังกล่าวไปจำนองไว้แก่จำเลยที่ 3 เป็นเงิน 29,000,000 บาท โดยกรรมการผู้จัดการของจำเลยที่ 3 ทราบเรื่องดี จึงเป็นการรับจำนองโดยไม่สุจริตขอให้เพิกถอนสัญญาซื้อขายและสัญญาจำนองที่ดินดังกล่าวเห็นว่า การฟ้องขอให้เพิกถอนสัญญาซื้อขายและสัญญาจำนองที่ดินดังกล่าวเป็นการจัดการงานของจำเลยที่ 1 โจทก์เป็นเพียงผู้ถือหุ้น ไม่มีอำนาจกระทำการใด ๆ แทนจำเลยที่ 1 คงมีสิทธิเพียงควบคุมการดำเนินงานของจำเลยที่ 1 บางประการตามที่กฎหมายบัญญัติไว้เท่านั้น หาอาจก้าวล่วงเข้าไปจัดการงานของจำเลยที่ 1 เสียเองได้ไม่และแม้โจทก์เป็นกรรมการของจำเลยที่ 1ด้วยคนหนึ่ง แต่ตามหนังสือรับรองของสำนักทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 1 ลำพังโจทก์เพียงคนเดียวไม่มีอำนาจกระทำการใด ๆ แทนจำเลยที่ 1 เช่นกัน โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมการซื้อขายที่ดินระหว่างจำเลยที่ 1กับจำเลยที่ 2 และการจำนองที่ดินระหว่างจำเลยที่ 2กับจำเลยที่ 3 ที่โจทก์ฎีกาว่า ในกรณีเช่นนี้หากไม่ถือว่าโจทก์เป็นผู้เสียหายก็จะไม่มีใครเป็นผู้เสียหายได้เลยนั้น เห็นว่าโจทก์และผู้ถือหุ้นคนอื่นสามารถกระทำได้โดยใช้มติที่ประชุมใหญ่ถอดถอนกรรมการชุดเดิมและแต่งตั้งกรรมการชุดใหม่ แล้วให้กรรมการชุดใหม่ดำเนินการแทนจำเลยที่ 1 หรือหากโจทก์และผู้ถือหุ้นคนอื่นเสียหายก็สามารถดำเนินการฟ้องเรียกร้องเอาค่าสินไหมทดแทนจากกรรมการผู้ก่อให้เกิดความเสียหายได้โดยหากบริษัทไม่ฟ้องโจทก์ในฐานะผู้ถือหุ้นจะดำเนินการฟ้องเองตามบทบัญญัติประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1169 วรรคหนึ่ง ได้
พิพากษายืน