แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ตามคำฟ้องโจทก์อ้างว่าโจทก์ได้บอกเลิกสัญญากับจำเลยทั้งสองแล้วเพราะจำเลยทั้งสองทำผิดสัญญา จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยทั้งสองไม่เคยผิดสัญญา อันเป็นการต่อสู้ว่าสัญญาระหว่างโจทก์จำเลยทั้งสองยังไม่เลิกกัน ที่ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นพิพาทว่า จำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาหรือไม่ จึงรวมอยู่ในประเด็นที่ว่าสัญญาระหว่างโจทก์จำเลยทั้งสองเลิกกันแล้วหรือยังด้วย เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าโจทก์กับจำเลยทั้งสองตกลงเลิกสัญญาต่อกันแล้วดังนี้ ที่ศาลวินิจฉัยว่าโจทก์กับจำเลยทั้งสองตกลงเลิกสัญญาต่อกันแล้ว โดยมิได้วินิจฉัยว่าจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาหรือไม่อีกนั้น จึงมิใช่เป็นการพิพากษานอกคำฟ้องและนอกประเด็น
จำเลยจ้างเหมาโจทก์ปลูกสร้างอาคาร ในสัญญาจ้างแบ่งเงินค่าจ้างออกเป็นงวด ๆ โดยงวดสุดท้ายกำหนดชำระเป็นจำนวนเกือบจะเท่ากับกึ่งหนึ่งของค่าก่อสร้างทั้งหมด เมื่อโจทก์จำเลยได้ตกลงเลิกสัญญาต่อกันโดยกรณีต้องด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 391 โจทก์และจำเลยต้องให้อีกฝ่ายหนึ่งกลับคืนสู่ฐานะดังเป็นอยู่เดิม ส่วนการงานที่โจทก์ได้กระทำให้จำเลยทั้งสองแล้วนั้น จำเลยทั้งสองจำต้องใช้เงินให้โจทก์ตามค่าแห่งการงานที่โจทก์ได้ทำไปแล้ว ค่าแห่งการงานที่จะต้องชดใช้กันนั้นไม่จำต้องมีราคาตรงตามงวดของงานที่ระบุไว้ในสัญญา ต้องพิจารณาถึงผลงานที่ทำให้ไปแล้วทั้งหมด
ความรับผิดชั้นที่สุดสำหรับค่าฤชาธรรมเนียมของคู่ความในคดีนั้นเป็นดุลพินิจของศาลโดยคำนึงถึงเหตุสมควรและความสุจริตในการต่อสู้คดีหรือการดำเนินคดีของคู่ความ
ย่อยาว
คดี 2 สำนวนนี้ศาลชั้นต้นรวมพิจารณาพิพากษาเข้าด้วยกันโดยให้เรียกนางสาววิลาวัณย์ว่าจำเลยที่ 1 นางนกแก้วว่าจำเลยที่ 2
โจทก์ฟ้องสองสำนวนเป็นใจความว่า จำเลยที่ 1 ว่าจ้างเหมาโจทก์ปลูกสร้างอาคารพาณิชย์ 2 คูหา ในราคา 345,000 บาท แบ่งการจ่ายเงินค่าจ้างออกเป็น 7 งวดและนายอุไร ปัทมาลัยว่าจ้างโจทก์ปลูกสร้าง 1 คูหา ราคา 167,000 บาท แบ่งการจ่ายเงินออกเป็น 6 งวด นายอุไรโอนสิทธิตามสัญญาจ้างเหมาให้จำเลยที่ 2 โจทก์ได้ก่อสร้างอาคารพาณิชย์ตามสัญญาตลอดมา จำเลยทั้งสองได้จ่ายเงินค่าจ้างให้โจทก์แล้ว 3 งวด จำเลยทั้งสองไม่จ่ายเงินค่าจ้างงวดที่ 4 ที่ 5 ให้ ในระหว่างก่อสร้าง จำเลยทั้งสองได้กระทำผิดสัญญาหลายประการเป็นเหตุให้โจทก์เสียหายและได้สั่งแก้ไขเปลี่ยนแปลงงานก่อสร้างนอกเหนือไปจากสัญญาและแบบแปลนโดยจำเลยทั้งสองจะต้องจ่ายเงินค่าจ้างให้แต่ก็ไม่ยอมจ่าย การกระทำของจำเลยทั้งสองทำให้โจทก์ไม่สามารถทำงานก่อสร้างต่อไปได้ โจทก์จึงบอกเลิกสัญญากับจำเลยทั้งสอง และบอกให้จำเลยที่ 1 นำเงินค่าจ้างงวดที่ค้าง 80,000 บาท เงินค่าแก้ไขเพิ่มเติมการก่อสร้าง 12,300 บาท และเงินค่าก่อสร้างที่โจทก์ทำเกินงวดที่ 5 ไปแล้ว โดยทำเสร็จเรียบร้อยไปแล้วประมาณ 80 เปอร์เซ็นต์ของงานงวดที่ 6 ที่ 7 อีกจำนวน 136,000 บาท รวมทั้งสิ้นเป็นเงิน 228,300 บาท ให้จำเลยที่ 2 นำเงินค่าจ้างงวดที่ค้าง 30,000 บาท เงินค่าแก้ไขเพิ่มเติมการก่อสร้าง 11,000 บาท เงินค่าก่อสร้างที่โจทก์ทำเกินงวดที่ 5 โดยทำเสร็จเรียบร้อยไปประมาณ 80 เปอร์เซ็นต์ของงานงวดที่ 6 อีกจำนวนเงิน 49,600 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 90,600 บาท จำเลยทั้งสองไม่ยอมชำระให้ขอให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน 228,300 บาท จำเลยที่ 2 ชำระเงิน90,879 บาท ให้แก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ 27กันยายน 2519 จนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยทั้งสองให้การในทำนองเดียวกันว่า เหตุที่จำเลยทั้งสองไม่จ่ายเงินงวดที่ 4 ที่ 5 เนื่องจากโจทก์ไม่ปฏิบัติให้เป็นไปตามสัญญาและโจทก์ไม่สามารถก่อสร้างให้เสร็จภายในกำหนดในสัญญาได้ ซึ่งอาจจะต้องถูกจำเลยปรับ จึงนำคดีมาฟ้องจำเลยไม่เคยผิดสัญญาและไม่เคยให้โจทก์แก้ไขเปลี่ยนแปลงงานก่อสร้างจึงไม่ต้องรับผิด ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยทั้งสองจะต้องชำระเงินค่าก่อสร้างงวดที่ 4 ที่ 5 ค่าแก้ไขเปลี่ยนแปลงเพิ่มเติมรายการก่อสร้าง โจทก์ทำงานงวดที่ 6 ที่ 7 ให้จำเลยที่ 1 และงวดที่ 6 ให้จำเลยที่ 2 แล้วเสร็จประมาณคนละ 80 เปอร์เซ็นต์ พิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน 228,300 บาท จำเลยที่ 2 ชำระเงิน 90,600 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ 27 กันยายน 2519 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า โจทก์กับจำเลยทั้งสองได้ตกลงเลิกสัญญาต่อกันแล้วเป็นผลให้คู่สัญญากลับคืนสู่ฐานะที่เป็นอยู่เดิม แต่การงานที่โจทก์ทำไปแล้ว จำเลยทั้งสองต้องชำระให้โจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 391 วรรคสาม ฟังว่าราคาค่าก่อสร้างที่ทำไปแล้วของจำเลยที่ 1 แล้วเสร็จ 3 ใน 4 เป็นเงิน 258,750 บาท จำเลยที่ 1 ชำระให้มาแล้ว 95,000 บาท คงต้องชำระอีก 163,750 บาท ของจำเลยที่ 2 แล้วเสร็จ 5 ใน 6 เป็นเงิน 139,165 บาท จำเลยที่ 2 ชำระให้แล้ว 75,000 บาท คงต้องชำระอีก 64,165 บาทงานที่จำเลยทั้งสองสั่งแก้ไขเพิ่มเติมนอกเหนือจากแบบแปลนจำเลยทั้งสองไม่อุทธรณ์จึงฟังเป็นยุติว่า จำเลยที่ 1 ต้องชำระส่วนนี้ 12,300 บาท จำเลยที่ 2 ต้องชำระ 11,000 บาท พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน 176,050 บาท จำเลยที่ 2 ชำระเงิน 75,165 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ 27 กันยายน 2519 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนจำเลยทั้งสอง โดยกำหนดค่าทนายความสำหรับจำเลยที่ 1 เป็นเงิน 3,000 บาท จำเลยที่ 2 เป็นเงิน 1,250 บาท
โจทก์ฎีกาว่า ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า โจทก์ทำการก่อสร้าง ตึกแถวพิพาทของจำเลยที่ 1 แล้วเสร็จไป 3 ใน 4 และของจำเลยที่ 2 แล้วเสร็จไป 5 ใน 6ไม่ถูกต้องและที่ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนจำเลยทั้งสองนั้น ปรากฏว่าจำเลยเป็นฝ่ายบิดพลิ้วความรับผิดเกี่ยวกับค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์จึงควรให้จำเลยทั้งสองรับผิด
จำเลยทั้งสองฎีกาว่า โจทก์ไม่มีผลงานในงวดที่ 6 ที่ 7 สำหรับตึกแถวของจำเลยที่ 1 และผลงานในงวดที่ 6 สำหรับตึกแถวของจำเลยที่ 2 จึงไม่มีสิทธิได้รับเงินค่าการงานในงวดเหล่านี้จากจำเลยทั้งสอง โจทก์ไม่มีสิทธิบอกเลิกสัญญากับจำเลยทั้งสอง และจำเลยทั้งสองไม่ได้ตกลงเลิกสัญญากับโจทก์ ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า โจทก์กับจำเลยตกลงเลิกสัญญาต่อกันเป็นการพิพากษานอกคำฟ้องและนอกประเด็น
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่าโจทก์ไม่มีสิทธิบอกเลิกสัญญากับจำเลยทั้งสองและจำเลยทั้งสองไม่ได้ตกลงเลิกสัญญากับโจทก์ และที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า โจทก์กับจำเลยตกลงเลิกสัญญาต่อกันเป็นการพิพากษานอกคำฟ้องและนอกประเด็นนั้น เห็นว่า การที่โจทก์มีหนังสือบอกเลิกสัญญากับจำเลยทั้งสองอ้างว่าจำเลยทั้งสองผิดสัญญา และจำเลยทั้งสองมีหนังสือตอบโจทก์ว่าไม่ขัดข้องในการเลิกสัญญา ทั้งยังนัดหมายให้โจทก์ตกลงเรื่องค่าจ้าง ที่ยังค้างตามผลงานที่ได้กระทำไปแล้วด้วยเช่นนี้ เห็นได้ว่า คู่สัญญาทั้งสองฝ่ายตกลงยอมเลิกสัญญาต่อกันโดยปริยายแล้วตามคำฟ้องโจทก์อ้างว่าโจทก์ได้บอกเลิกสัญญากับจำเลยทั้งสองแล้วเพราะจำเลยทั้งสองกระทำผิดสัญญาหลายประการ จำเลยทั้งสองให้การว่าไม่เคยผิดสัญญาอันเป็นการต่อสู้ว่าสัญญาระหว่างโจทก์จำเลยยังไม่เลิกกัน ดังนั้นที่ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่าจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาหรือไม่จึงรวมอยู่ในประเด็นที่ว่าสัญญาระหว่างโจทก์และจำเลยทั้งสองเลิกกันแล้วหรือยังด้วย เมื่อทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยทั้งสองได้ตกลงเลิกสัญญาต่อกันแล้วก็ไม่จำเป็นจะต้องวินิจฉัยว่าจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาหรือไม่อีก ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าโจทก์กับจำเลยทั้งสองได้ตกลงเลิกสัญญาต่อกันแล้วโดยมิได้วินิจฉัยว่า จำเลยมิได้เป็นฝ่ายผิดสัญญาหรือไม่ จึงหาเป็นการนอกคำฟ้องนอกประเด็นดังที่จำเลยทั้งสองฎีกาไม่
ที่โจทก์ฎีกาว่า ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยถึงผลงานของโจทก์ที่ทำไปแล้วไม่ถูกต้องและที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่า โจทก์ไม่มีผลงานในงวดที่ 6 ที่ 7สำหรับตึกแถวของจำเลยที่ 1 และผลงานในงวดที่ 6 สำหรับตึกแถวของจำเลยที่ 2 จึงไม่มีสิทธิได้รับเงินค่าการงานในงวดเหล่านี้จากจำเลยทั้งสองนั้น เห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงในทางพิจารณาปรากฏว่า โจทก์และจำเลยทั้งสองได้ตกลงเลิกสัญญาต่อกันแล้ว กรณีก็ต้องด้วยบทบัญญัติ มาตรา 391 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ กล่าวคือ โจทก์และจำเลยทั้งสองจำต้องให้อีกฝ่ายหนึ่งกลับคืนสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิม ส่วนการงานที่โจทก์ได้กระทำให้จำเลยทั้งสองแล้วนั้นจำเลยทั้งสองจำต้องใช้เงินให้โจทก์ ตามค่าแห่งการงานที่โจทก์ไปทำไปแล้ว ค่าแห่งการงานที่โจทก์ทำไปแล้วนั้นไม่จำต้องมีราคาตรงตามงวดของงานที่ระบุไว้ในสัญญาเพราะตามสัญญาระหว่างโจทก์จำเลยทั้งสอง งานงวดสุดท้ายของสัญญาแต่ละฉบับระบุไว้เหมือนกัน คือทำทุกอย่างให้เรียบร้อยตามแบบแปลนรายการและเก็บทำความสะอาดเป็นที่เรียบร้อย โดยกำหนดให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน 150,000 บาท จำเลยที่ 2 ชำระเงิน 62,000 บาท เป็นจำนวนเกือบจะเท่ากับกึ่งหนึ่งของค่าก่อสร้างทั้งหมดซึ่งไม่สัมพันธ์กับการงานที่ทำ ดังนั้น จำเลยทั้งสองจะเจาะจงมุ่งเอาผลงานแต่ในเฉพาะงวดสุดท้าย ไม่คำนึงถึงผลงานในงวดก่อน ๆ หาได้ไม่ ศาลฎีกาพิจารณาข้อเท็จจริงแล้ววินิจฉัยว่าผลงานของโจทก์ที่ทำไปแล้วนั้นศาลอุทธรณ์วินิจฉัยชอบแล้วหาเป็นการคลาดเคลื่อนดังโจทก์ฎีกาไม่ ฎีกาโจทก์จำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ที่โจทก์ฎีกาว่าฝ่ายจำเลยเป็นฝ่ายบิดพลิ้ว ความรับผิดเกี่ยวกับเงินค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ควรให้จำเลยทั้งสองรับผิดนั้น เห็นว่า ความรับผิดชั้นที่สุดสำหรับค่าฤชาธรรมเนียมของคู่ความในคดีนั้นเป็นดุลพินิจของศาลอุทธรณ์โดยคำนึงถึงเหตุสมควรและความสุจริต ในการต่อสู้คดี หรือการดำเนินคดีของคู่ความทั้งปวง สำหรับคดีนี้ยังไม่มีเหตุเปลี่ยนแปลงดุลพินิจของศาลอุทธรณ์เป็นอย่างอื่น
พิพากษายืน