คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5698/2541

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยทั้งสองได้ย้ายไปจากบ้านเลขที่ 252 ไปมีภูมิลำเนา อยู่ที่อื่นแล้ว บ้านเลขที่ดังกล่าวจึงมิใช่ภูมิลำเนาของ จำเลยทั้งสอง โดยมิพักต้องคำนึงว่าจำเลยทั้งสองย้ายไป อยู่ที่อื่นด้วยเหตุผลใด และการที่ยังมีชื่อของจำเลยทั้งสอง ในทะเบียนบ้านดังกล่าวด้วยเหตุผลเพียงไม่ได้แจ้งย้ายชื่อ ออกไปเพียงอย่างเดียวย่อมไม่ทำให้บ้านหลังดังกล่าวยังคง เป็นภูมิลำเนาของจำเลยทั้งสอง เหตุนี้การส่งหมายเรียก และสำเนาคำฟ้องและหมายนัดสืบพยานของโจทก์ให้แก่จำเลยทั้งสองที่บ้านเลขที่ 252 จึงเป็นการไม่ชอบ และย่อมไม่มีทางที่จำเลยทั้งสองจะทราบว่าตนได้ถูกโจทก์ฟ้อง การที่จำเลยทั้งสองไม่ได้ยื่นคำให้การต่อสู้คดีและไม่ได้มาศาลในวันนัดสืบพยาน จะถือว่าจำเลยทั้งสองจงใจขาดนัดยื่นคำให้การหรือจงใจขาดนัดพิจารณาย่อมไม่ได้ เมื่อคดีไม่ปรากฏว่าก่อนที่จำเลยทั้งสองจะยื่นคำร้องขอให้พิจารณา คดีใหม่นั้นได้มีการออกคำบังคับและส่งคำบังคับให้แก่ จำเลยทั้งสองให้ปฏิบัติตามคำพิพากษา จึงยังไม่มีวันเริ่มต้น และวันสิ้นสุดที่จะนับกำหนดระยะเวลาในการยื่นคำร้องขอ ให้พิจารณาคดีใหม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208 จำเลยทั้งสองจึงมีสิทธิยื่นคำร้องขอ ให้พิจารณาใหม่ได้ คำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ของจำเลยทั้งสองอ้างว่าจำเลยทั้งสองมีทางชนะคดีโจทก์ เพราะความจริงจำเลยทั้งสองเป็นผู้ซื้อที่ดินตามที่โจทก์ฟ้องแต่เพียงฝ่ายเดียว โจทก์มิได้เกี่ยวข้อง จำเลยทั้งสองมิได้เป็นตัวแทนของโจทก์ โจทก์และจำเลยทั้งสองมิได้มี นิติสัมพันธ์ใด ๆ ต่อกัน และได้แสดงเหตุผลต่าง ๆ ว่า ข้อเท็จจริงมิได้เป็นไปตามที่โจทก์ฟ้อง และปรากฏตามสำเนา หนังสือสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินท้ายฟ้องของโจทก์ว่ามีแต่เฉพาะ จำเลยทั้งสองเพียงฝ่ายเดียวที่เป็นฝ่ายซื้อที่ดิน ตามที่โจทก์ฟ้อง ไม่ปรากฏชื่อโจทก์เป็นผู้ซื้อด้วยเลยถือได้ว่าจำเลยทั้งสองได้กล่าวโดยละเอียดชัดแจ้งถึงเหตุ ที่จำเลยทั้งสองจะชนะคดีโจทก์หรืออีกนัยหนึ่งเท่ากับ จำเลยทั้งสองคัดค้านว่า คำพิพากษาของศาลที่ให้โจทก์ ชนะคดีจำเลยทั้งสองโดยฟังข้อเท็จจริงตามคำฟ้องของโจทก์ เป็นการไม่ถูกต้องนั้นเอง คำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ ของจำเลยทั้งสองจึงชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองจดทะเบียนโอนที่ดินให้แก่โจทก์เฉพาะส่วนของโจทก์จำนวน 5 ไร่ตามสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินที่จำเลยทั้งสองและโจทก์ร่วมกันซื้อจากนางพันทิพา อุทัยสุข โดยโจทก์ให้จำเลยทั้งสองลงชื่อในสัญญาดังกล่าวแทนโจทก์ จำเลยทั้งสองขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา ศาลชั้นต้นพิจารณาคดีไปฝ่ายเดียวแล้วพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยทั้งสองจดทะเบียนขายที่ดินพิพาทจำนวน 5 ไร่ ตามฟ้องให้โจทก์ในราคาไร่ละ 25,000 บาท หรือมิฉะนั้นให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน 200,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องว่า จำเลยทั้งสองมิได้จงใจขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา จำเลยทั้งสองไม่ทราบว่าถูกฟ้องและไม่เคยได้รับหมายเรียกและสำเนาคำฟ้อง เพราะจำเลยทั้งสองได้ย้ายภูมิลำเนาไปอยู่ที่ตำบลนครเจดีย์ อำเภอป่าซางจังหวัดลำพูน ไม่เคยกลับมาภูมิลำเนาตามคำฟ้องของโจทก์เลยหากจำเลยทั้งสองทราบว่าถูกฟ้องจะต้องต่อสู้คดีอย่างแน่นอนเพราะคดีของจำเลยทั้งสองมีทางชนะได้ทั้งข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายขอให้ไต่สวนคำร้องและยกคดีขึ้นพิจารณาใหม่
โจทก์คัดค้าน ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์คำสั่ง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับเป็นอุทธรณ์คำสั่ง สำเนาให้แก่โจทก์ ให้จำเลยนำส่งใน 7 วันหากส่งไม่ได้ให้แถลงใน 7 วัน มิฉะนั้นถือว่าทิ้งอุทธรณ์วันที่ 24 มกราคม 2537 หัวหน้าฝ่ายเดินหมายและประกาศสำนักงานเลขานุการกรม กรมบังคับคดีรายงานต่อศาลชั้นต้นว่าส่งสำเนาอุทธรณ์คำสั่งให้แก่โจทก์ไม่ได้ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เจ้าหน้าที่ศาลตรวจสอบว่า จำเลยได้ยื่นคำแถลงภายใน 7 วันตามคำสั่งของศาลหรือไม่ เจ้าหน้าที่ศาลตรวจสอบแล้วรายงานต่อศาลเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2537 ว่า จำเลยไม่ได้ยื่นคำแถลงขอปิดหมาย
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ศาลมีคำสั่งให้จำเลยแถลงหากส่งสำเนาอุทธรณ์คำสั่งไม่ได้ ปรากฏว่าเจ้าพนักงานเดินหมายได้นำหมายไปส่งตั้งแต่วันที่ 21 มกราคม 2537 แล้วส่งไม่ได้จำเลยมิได้แถลงขอให้ศาลดำเนินการอย่างไรต่อไป จึงถือว่าจำเลยทิ้งอุทธรณ์คำสั่งตามคำสั่งของศาลลงวันที่ 24 ธันวาคม 2536จำหน่ายคดีออกจากสารบบความ
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาพิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 และคำสั่งศาลชั้นต้นดังกล่าวให้ศาลชั้นต้นแจ้งผลการส่งหมายแก่จำเลยทราบและดำเนินการต่อไป
ศาลชั้นต้นดำเนินการส่งหมายนัดและสำเนาอุทธรณ์คำสั่งให้แก่โจทก์แล้วส่งสำนวนให้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิจารณาต่อไป
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้เป็นยุติว่าเดิมจำเลยที่ 1 อยู่บ้านเลขที่ 252 หมู่ที่ 15 ตำบลแสนสุขอำเภอเมืองชลบุรี จังหวัดชลบุรี จำเลยที่ 2 อยู่บ้านเลขที่ 15/9หมู่ที่ 3 ตำบลสุรศักดิ์ อำเภอศรีราชา จังหวัดเดียวกันต่อมาจำเลยทั้งสองได้อยู่กินร่วมกันฉันสามีภรรยาเมื่อปี 2525โดยจำเลยที่ 2 มาพักอาศัยอยู่กับจำเลยที่ 1 ที่บ้านของจำเลยที่ 1ขณะที่โจทก์ฟ้องคดีนี้จำเลยทั้งสองพักอาศัยอยู่หมู่ที่ 3ตำบลนครเจดีย์ อำเภอป่าซาง จังหวัดลำพูน โดยที่จำเลยทั้งสองยังมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านดังกล่าวข้างต้นตลอดมา
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า มีเหตุที่จะอนุญาตให้พิจารณาคดีใหม่ตามคำขอของจำเลยทั้งสองหรือไม่โจทก์ฎีกาว่า จำเลยทั้งสองยังคงมีภูมิลำเนาอยู่ที่บ้านเลขที่เดิมตามฟ้องไม่ได้แจ้งย้ายภูมิลำเนาไปอยู่ที่อื่น การส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้จำเลยทั้งสองตามที่อยู่ของจำเลยทั้งสองดังกล่าวชอบแล้ว จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่พ้นระยะเวลาตามที่กฎหมายกำหนด ทั้งไม่ได้กล่าวโดยละเอียดว่าจำเลยทั้งสองมีทางที่จะชนะคดีโจทก์ได้อย่างไร ไม่ควรที่ศาลจะอนุญาตให้พิจารณาคดีใหม่ เห็นว่า แม้จำเลยทั้งสองยังมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านตามคำฟ้องของโจทก์ แต่เฉพาะจำเลยที่ 2โจทก์ได้แถลงยอมรับในคำร้องขอแก้ไขคำฟ้องของโจทก์ฉบับลงวันที่9 มิถุนายน 2532 ตรงตามทางนำสืบของจำเลยทั้งสองว่าจำเลยที่ 2 ได้ย้ายภูมิลำเนาไปอยู่กับจำเลยที่ 1ที่บ้านเลขที่ 252 หมู่ที่ 15 ตำบลแสนสุข อำเภอเมืองชลบุรีจังหวัดชลบุรี แล้ว ดังนั้น จำเลยที่ 2 จึงมิได้มีภูมิลำเนาอยู่ที่บ้านเลขที่ 15/9 หมู่ที่ 3 ตำบลสุรศักดิ์ อำเภอศรีราชาจังหวัดชลบุรี อีกต่อไป ข้อเท็จจริงปรากฏตามรายงานการเดินหมายของเจ้าหน้าที่ตั้งแต่การส่งหมายครั้งแรกเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2532 และครั้งต่อ ๆ มาว่าเมื่อเจ้าหน้าที่ไปส่งหมายเรียกหรือหมายนัดให้แก่จำเลยทั้งสองที่บ้านเลขที่ 252 หมู่ที่ 15ตำบลแสนสุข อำเภอเมืองชลบุรี จังหวัดชลบุรีนั้น เจ้าหน้าที่ไม่เคยพบเห็นจำเลยทั้งสองเลย คนที่อยู่ในบ้านและคนข้างบ้านแจ้งว่าจำเลยทั้งสองได้ย้ายไปอยู่ที่อื่นแล้ว และบางคนก็ไม่รู้จักจำเลยทั้งสอง และแม้ภายหลังจากที่ศาลชั้นต้นพิพากษาแล้วในการส่งสำเนาอุทธรณ์ของโจทก์ตลอดจนหมายนัดต่าง ๆให้แก่จำเลยทั้งสองก็ไม่ปรากฏว่าเจ้าหน้าที่เคยได้พบเห็นจำเลยทั้งสองที่บ้านดังกล่าว ความละเอียดปรากฏตามรายงานการเดินหมายของเจ้าหน้าที่ในสำนวน หากจำเลยทั้งสองยังคงพักอาศัยอยู่ที่บ้านของจำเลยที่ 1 จริง การส่งหมายเรียกและหมายนัดต่าง ๆ ให้แก่จำเลยทั้งสองได้กระทำหลายครั้งเจ้าหน้าที่คงจะได้พบเห็นจำเลยทั้งสองหรือบุคคลในครัวเรือนของจำเลยทั้งสองบ้าง แต่ก็หามีปรากฏไม่ ได้ความจากจำเลยทั้งสองว่า จำเลยทั้งสองได้ย้ายออกจากบ้านตามฟ้องไปอยู่ที่อื่นตั้งแต่ปลายปี 2526 และจำเลยที่ 1 ผิดสัญญาจำนอง เจ้าหนี้ได้ฟ้องบังคับจำนองและยึดทรัพย์ที่จำนองคือที่ดินพร้อมบ้านหลังดังกล่าวขายทอดตลาดให้แก่บุคคลอื่นไปแล้ว เมื่อปลายปี 2527บ้านพร้อมที่ดินจึงมิใช่ของจำเลยที่ 1 และมิได้เป็นที่อยู่อาศัยของจำเลยทั้งสองอีกต่อไป รายละเอียดปรากฏตามสำนวนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 618/2526 ของศาลชั้นต้น เหตุนี้ที่จำเลยทั้งสองนำสืบว่า บ้านเลขที่ 252 หมู่ที่ 15 ตำบลแสนสุขอำเภอเมืองชลบุรี จังหวัดชลบุรี และบ้านเลขที่ 15/9หมู่ที่ 3 ตำบลสุรศักดิ์ อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรีมิใช่ถิ่นที่อยู่ของจำเลยทั้งสองในขณะที่โจทก์ยื่นฟ้องจึงมีน้ำหนักและเหตุผลมั่นคง ฟังได้ว่าขณะที่โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองนั้นจำเลยทั้งสองได้ย้ายไปจากบ้านเลขที่ 252หมู่ที่ 15 ตำบลแสนสุข อำเภอเมืองชลบุรี จังหวัดชลบุรีไปมีภูมิลำเนาอยู่ที่อื่นแล้ว บ้านเลขที่ดังกล่าวจึงมิใช่ภูมิลำเนาของจำเลยทั้งสอง โดยมิพักต้องคำนึงว่าจำเลยทั้งสองย้ายไปอยู่ที่อื่นด้วยเหตุผลใดและการที่ยังมีชื่อของจำเลยทั้งสองในทะเบียนบ้านดังกล่าวด้วยเหตุผลเพียงไม่ได้แจ้งย้ายชื่อออกไปเพียงอย่างเดียว หาทำให้บ้านหลังดังกล่าวยังคงเป็นภูมิลำเนาของจำเลยทั้งสองแต่ประการใดไม่ เหตุนี้การส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องและหมายนัดสืบพยานของโจทก์ให้แก่จำเลยทั้งสองที่บ้านเลขที่ 252 หมู่ที่ 15 ตำบลแสนสุข อำเภอเมืองชลบุรีจังหวัดชลบุรี จึงเป็นการไม่ชอบ และย่อมไม่มีทางที่จำเลยทั้งสองจะทราบว่าตนได้ถูกโจทก์ฟ้อง ดังนั้น ที่จำเลยทั้งสองไม่ได้ยื่นคำให้การต่อสู้คดีและไม่ได้มาศาลในวันนัดสืบพยานจะว่าจำเลยทั้งสองจงใจขาดนัดยื่นคำให้การหรือจงใจขาดนัดพิจารณาย่อมไม่ได้ คดีไม่ปรากฏว่าก่อนที่จำเลยทั้งสองจะยื่นคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่นั้นได้มีการออกคำบังคับและส่งคำบังคับให้แก่จำเลยทั้งสองให้ปฏิบัติตามคำพิพากษา จึงยังไม่มีวันเริ่มต้นและวันสิ้นสุดที่จะนับกำหนดระยะเวลาในการยื่นคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 208 จำเลยทั้งสองจึงมีสิทธิยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ได้และเมื่อพิเคราะห์เนื้อความตามคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ของจำเลยทั้งสองแล้ว การที่จำเลยทั้งสองอ้างว่าจำเลยทั้งสองมีทางชนะคดีโจทก์ เพราะความจริงจำเลยทั้งสองเป็นผู้ซื้อที่ดินตามที่โจทก์ฟ้องแต่เพียงฝ่ายเดียว โจทก์มิได้เกี่ยวข้องจำเลยทั้งสองมิได้เป็นตัวแทนของโจทก์ โจทก์และจำเลยทั้งสองมิได้มีนิติสัมพันธ์ใด ๆ ต่อกัน และได้แสดงเหตุผลต่าง ๆว่าข้อเท็จจริงมิได้เป็นไปตามที่โจทก์ฟ้อง และปรากฏตามสำเนาหนังสือสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินท้ายฟ้องของโจทก์ว่ามีแต่เฉพาะจำเลยทั้งสองเพียงฝ่ายเดียวที่เป็นฝ่ายซื้อที่ดินตามที่โจทก์ฟ้องไม่ปรากฏชื่อโจทก์เป็นผู้ซื้อด้วยเลย ดังนี้ ย่อมถือได้ว่าจำเลยทั้งสองได้กล่าวโดยละเอียดชัดแจ้งถึงเหตุที่จำเลยทั้งสองจะชนะคดีโจทก์ หรืออีกนัยหนึ่งเท่ากับจำเลยทั้งสองคัดค้านว่าคำพิพากษาของศาลที่ให้โจทก์ชนะคดีจำเลยทั้งสองโดยฟังข้อเท็จจริงตามคำฟ้องของโจทก์เป็นการไม่ถูกต้องนั่นเอง คำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ของจำเลยทั้งสองจึงชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208 และมีเหตุผลเชื่อว่าจำเลยทั้งสองมิได้จงใจขาดนัดยื่นคำให้การและจงใจขาดนัดพิจารณา
พิพากษายืน

Share