แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยไม่ได้ยื่นบัญชีระบุพยานก่อนวันชี้สองสถานไม่น้อยกว่า 15 วัน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 88 วรรคหนึ่ง แต่จำเลยเพิ่งยื่นคำร้องขอยื่นบัญชี ระบุพยานขณะที่โจทก์ได้สืบพยานไปจนจบแล้ว โดยอ้างว่า ระยะเวลายื่นบัญชีระบุพยานครั้งแรกได้สิ้นสุดไปก่อนหน้า ที่ทนายจำเลยคนปัจจุบันเข้ามารับหน้าที่ ซึ่งมิได้เป็นเหตุ สุดวิสัย หากอนุญาตให้จำเลยนำพยานเข้าสืบย่อมจะทำให้ โจทก์เสียเปรียบ ที่ศาลชั้นต้นไม่อนุญาตให้จำเลยนำพยาน เข้าสืบจึงชอบแล้ว แม้จำเลยจะได้ให้การโต้แย้งว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเป็นประเด็นไว้ แต่ในวันชี้สองสถานซึ่งศาลชั้นต้นได้ทำการชี้สองสถานกำหนดประเด็น ข้อพิพาทเพียงประเด็นเดียวว่า โจทก์และจำเลยได้แบ่งแยกกันครอบครองที่ดินโฉนดพิพาทเป็นส่วนสัดแล้วหรือไม่เท่านั้นโดยจำเลยมิได้คัดค้านอันเป็นการสละประเด็นข้อต่อสู้ดังกล่าว เท่ากับจำเลยยอมรับว่าโจทก์ทั้งห้ามีอำนาจฟ้องโจทก์จึงไม่จำต้องนำสืบถึงประเด็นดังกล่าว และจำเลยย่อมไม่มีสิทธิยกขึ้นอ้างในชั้นฎีกาได้ว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เมื่อที่ดิน ป.ร้องขอแสดงกรรมสิทธิ์ในคดีก่อนเป็นที่ดินที่ไม่เกี่ยวกับที่ดินพิพาทในคดีนี้ที่โจทก์และจำเลย ครอบครองอยู่ การที่โจทก์และจำเลยได้ครอบครองที่ดินพิพาทของตนในคดีนี้เป็นส่วนสัดโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของตั้งแต่วันที่โจทก์จำเลยได้รับการยกให้จากเจ้าของกรรมสิทธิ์ติดต่อกันมาเป็นเวลาเกิน 10 ปีแล้ว โดยไม่มีใครรบกวน โจทก์และจำเลยย่อมได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินในส่วน ที่ตนครอบครองนั้น
ย่อยาว
โจทก์ทั้งห้าฟ้องว่า โจทก์ทั้งห้าและจำเลยทั้งสี่เป็นเจ้าของที่ดินร่วมกัน คือโฉนดเลขที่ 1627 เนื้อที่ 46 ไร่87 ตารางวา เป็นของโจทก์ที่ 1 ถึงโจทก์ที่ 4 คนละ 5 ไร่50 ตารางวา เป็นของโจทก์ที่ 5 เนื้อที่ประมาณ 20 ไร่2 งาน 37 ตารางวา โจทก์ทั้งห้ากับจำเลยทั้งสี่ได้แบ่งแยกการครอบครองเป็นส่วนสัดโดยความสงบ โดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันมาเกินกว่า 10 ปี แล้ว โจทก์ทั้งห้ามีความประสงค์จะขอรังวัดแบ่งแยกที่ดินของแต่ละคนเป็นแต่ละโฉนดตามที่ต่างได้ครอบครอง ได้แจ้งให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกับโจทก์ทั้งห้าไปยื่นคำขอต่อเจ้าพนักงานที่ดินเพื่อทำการรังวัดแบ่งแยก แต่จำเลยทั้งสี่ไม่ยอม โดยอ้างว่าในส่วนของจำเลยทั้งสี่ยังตกลงกันไม่ได้ ขอให้บังคับจำเลยทั้งสี่ร่วมกับโจทก์ไปยื่นคำขอรังวัดที่ดินพิพาทตามส่วนที่ได้ครอบครอง หากจำเลยทั้งสี่ไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาแทน
จำเลยทั้งสี่ให้การต่อสู้คดี ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกับโจทก์ไปยื่นคำขอรังวัดแบ่งแยกที่ดินโฉนดเลขที่ 1627 ตามส่วนที่ตนได้ครอบครองตามแผนที่พิพาทเอกสารหมาย จ.3 หากจำเลยทั้งสี่ไม่ยอมปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนา
จำเลยที่ 1 และที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 และ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่าที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 1627 เป็นของนายเสริม ผ่องผุดต่อมาโจทก์ทั้งห้าและจำเลยทั้งสี่มีชื่อร่วมกันในโฉนดที่ดินดังกล่าว และที่ดินดังกล่าวถูกแบ่งแยกเป็นของนายประเสริฐ ผ่องผุดบิดาจำเลยที่ 1 และที่ 2 จำนวน 5 ไร่ 50 ตารางวาคงมีเนื้อที่เหลืออยู่ 46 ไร่ 87 ตารางวา
มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 และที่ 2ประการแรกว่าที่ศาลชั้นต้นไม่อนุญาตให้จำเลยที่ 1 และที่ 2นำพยานเข้าสืบชอบหรือไม่ เห็นว่าศาลชั้นต้นได้ทำการชี้สองสถานคดีนี้เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2538 ซึ่งจำเลยที่ 1 และที่ 2 จะต้องยื่นบัญชีระบุพยานก่อนวันชี้สองสถานไม่น้อยกว่า 15 วัน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 88 วรรคหนึ่งแต่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ก็ไม่ได้ยื่นบัญชีระบุพยานโดยได้ยื่นคำร้องขอยื่นบัญชีระบุพยานในวันที่ 24 มิถุนายน 2539 ซึ่งขณะนั้นโจทก์ทั้งห้าได้สืบพยานไปจนจบแล้ว โดยอ้างเพียงว่าระยะเวลายื่นบัญชีระบุพยานครั้งแรกได้สิ้นสุดไปก่อนหน้าที่ทนายจำเลยที่ 1 และที่ 2 คนปัจจุบันเข้ามารับหน้าที่ ซึ่งมิได้เป็นเหตุสุดวิสัยแต่อย่างใด หากอนุญาตให้จำเลยที่ 1 และที่ 2นำพยานเข้าสืบย่อมจะทำให้โจทก์ทั้งห้าเสียเปรียบ ที่ศาลชั้นต้นไม่อนุญาตให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 นำพยานเข้าสืบจึงชอบแล้ว
มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยที่ 1 และที่ 2 ข้อต่อไปว่าโจทก์ทั้งห้าไม่ได้นำสืบให้เห็นเลยว่าได้มีการแจ้งให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกับโจทก์ทั้งห้าไปยื่นคำขอรังวัดแบ่งแยกต่อเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดปทุมธานีจึงยังไม่มีการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ทั้งห้าโจทก์ทั้งห้าจึงไม่มีอำนาจฟ้องนั้น ในข้อนี้โจทก์ทั้งห้าได้บรรยายฟ้องว่า ได้ร่วมกันแจ้งแก่จำเลยทั้งสี่ให้ร่วมกับโจทก์ทั้งห้ายื่นคำขอรังวัดแบ่งแยกต่อเจ้าหน้าที่สำนักงานที่ดินจังหวัดปทุมธานีแล้ว แต่จำเลยทั้งสี่ไม่ยอมซึ่งจำเลยที่ 1 และที่ 2ได้ยื่นคำให้การว่าโจทก์ทั้งห้ามิได้มีการบอกกล่าวถึงความประสงค์ในการรังวัดแบ่งแยกไม่ว่าโดยวาจาหรือหนังสือจึงเป็นกรณีที่ยังมิได้มีการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ทั้งห้าอันจะเป็นเหตุให้โจทก์ทั้งห้านำคดีมาสู่ศาลได้ โจทก์ทั้งห้าจึงไม่มีอำนาจฟ้อง เห็นว่า แม้จำเลยที่ 1 และที่ 2 จะได้ให้การโต้แย้งว่าโจทก์ทั้งห้าไม่มีอำนาจฟ้องเป็นประเด็นไว้ แต่ในวันชี้สองสถานซึ่งศาลชั้นต้นได้ทำการชี้สองสถานกำหนดประเด็นข้อพิพาทเพียงประเด็นเดียวว่า โจทก์ทั้งห้าและจำเลยทั้งสี่ได้แบ่งแยกกันครอบครองที่ดินโฉนดเลขที่ 1627 เป็นส่วนสัดแล้วหรือไม่เพียงใด เท่านั้นซึ่งจำเลยที่ 1 และที่ 2 ก็มิได้ทักท้วงคัดค้านแต่ประการใด อันเป็นการสละประเด็นข้อต่อสู้ดังกล่าวเท่ากับยอมรับว่าโจทก์ทั้งห้ามีอำนาจฟ้อง โจทก์ทั้งห้าจึงไม่จำต้องนำสืบถึงประเด็นดังกล่าวแต่อย่างใด จำเลยที่ 1 และที่ 2 จึงยกขึ้นมาอ้างในชั้นฎีกาอีกไม่ได้
ปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยที่ 1 และที่ 2 ประการสุดท้ายในประเด็นที่ว่า โจทก์ทั้งห้าและจำเลยทั้งสี่ได้แบ่งแยกกันครอบครองที่ดินโฉนดเลขที่ 1627 เป็นส่วนสัดแล้วหรือไม่เพียงใด ซึ่งจำเลยที่ 1 และที่ 2 ฎีกาว่า ที่ดินแปลงนี้เริ่มมีการครอบครองที่ไม่สงบตั้งแต่นายประเสริฐ ผ่องผุดยื่นคำร้องขอแสดงกรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงนี้เฉพาะส่วนที่นายประเสริฐครอบครองแล้ว และคงไม่สงบจนคดีถึงที่สุดเมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2529 การจะเริ่มนับการครอบครองต่อมาโดยสงบได้ควรจะเริ่มนับตั้งแต่วันที่ 31 ธันวาคม 2529เมื่อโจทก์ทั้งห้านำคดีนี้มาฟ้องเมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2538การครอบครองของโจทก์ทั้งห้านับต่อมาจนถึงวันฟ้องจึงยังไม่ครบ10 ปี จะถือว่าครอบครองเป็นส่วนสัดแล้วหาได้ไม่ เห็นว่าตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ดินที่นายประเสริฐ ผ่องผุด ร้องขอแสดงกรรมสิทธิ์เป็นที่ดินที่อยู่ทางใต้สุดของที่ดินพิพาทตามแผนที่สังเขปเอกสารหมาย จ.3 ไม่เกี่ยวกับที่ดินส่วนที่โจทก์ทั้งห้าและจำเลยที่ 3 และที่ 4 ครอบครองอยู่เลย จึงถือได้ว่าโจทก์ทั้งห้าและจำเลยที่ 3 และที่ 4 ได้ครอบครองที่ดินของตนดังกล่าวเป็นส่วนสัดโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของตั้งแต่วันที่ได้รับการยกให้ติดต่อกันมาเป็นเวลาเกิน 10 ปีแล้วโดยไม่มีใครรบกวน โจทก์ทั้งห้าและจำเลยที่ 3 และที่ 4จึงได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินในส่วนที่ตนครอบครอง
พิพากษายืน