แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
แม้จำเลยจะได้พกอาวุธปืน (เป็นอาวุธปืนพลาสติก)ไว้ที่เอวให้ตุงๆเพื่อให้ส. และ ข. เห็นโดยจำเลยได้เอามือข้างหนึ่งกุมไว้ด้านหลังก็ตาม แต่ก็ไม่ได้ใช้อาวุธปืนจี้ขู่เข็ญ หรือทำท่าจะยิงผู้เสียหายที่ 2 กับพวกจึงไม่มีลักษณะที่น่ากลัวหรือตกใจว่าจำเลยจะยิงผู้เสียหายจริงจังดังที่พูดหรือแสดง อาการดังกล่าวของจำเลยเป็นเพียงแสดงอาการฮึดฮัดหรืออารมณ์ที่ไม่พอใจเท่านั้นยังไม่พอฟังว่าเป็นความผิดฐานทำให้ผู้อื่นเกิดความกลัวหรือความตกใจโดยการขู่เข็ญตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 392
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 58, 91, 284, 310, 364, 392 และนำโทษของจำเลยที่รอการลงโทษมาบวกเข้ากับโทษของจำเลยในคดีนี้
จำเลยให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเคยถูกศาลพิพากษาลงโทษจำคุกและรอการลงโทษไว้จริง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 284, 295, 310, 364, 382 (ที่ถูกมาตรา 392) ฐานพาหญิงไปเพื่อการอนาจารและฐานหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้อื่นเป็นการกระทำอันเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 284 ซึ่งเป็นบทหนักจำคุก 2 ปี ฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นจำคุก 6 เดือน ฐานเข้าไปในเคหสถาน เมื่อผู้มีสิทธิที่จะห้ามมิให้เข้าไปได้ไล่ให้ออก จำคุก 3 เดือน รวมจำคุก 2 ปี 10 เดือน นำโทษของจำเลยที่รอการลงโทษไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ข.78/2538 มาบวกเข้ากับโทษของจำเลยในคดีนี้ เป็นจำคุก 2 ปี 11 เดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่าให้ยกฟ้องในความผิดฐานพาหญิงไปเพื่อการอนาจาร ฐานหน่วงเหนี่ยวกักขัง และฐานทำให้ผู้อื่นเกิดความกลัวหรือตกใจโดยการขู่เข็ญ และรวมโทษในความผิดฐานทำร้ายร่างกายกับฐานบุกรุกแล้วเป็นจำคุก 9 เดือน เมื่อนำโทษจำคุก 1 เดือน ที่รอการลงโทษไว้มาบวกเข้ากับโทษในคดีนี้เป็นจำคุก 10 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหาประการต่อไปว่า จำเลยได้กระทำผิดฐานทำให้ผู้อื่นเกิดความกลัวหรือความตกใจโดยการขู่เข็ญหรือไม่คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยฐานบุกรุกและฐานทำให้ผู้อื่นเกิดความกลัวเป็น 2 กระทงความผิด โดยจำคุกฐานบุกรุก 3 เดือนส่วนมาตรา 392 ไม่ได้ปรับบทมาตรา แต่ได้มีการรวมกระทงเข้าไปอีก1 เดือน แสดงว่าได้ลงโทษฐานทำให้ผู้อื่นเกิดความกลัวให้จำคุกจำเลย1 เดือน ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายกฟ้องข้อหานี้ พิเคราะห์แล้วข้อเท็จจริงฟังได้ตามที่โจทก์นำสืบว่าตามวันเวลาเกิดเหตุ หลังจากผู้เสียหายที่ 1 กลับมาอยู่บ้านแล้ว ต่อมาเวลาประมาณ 18 นาฬิกาจำเลยได้ขับรถยนต์เข้าในบ้านของผู้เสียหายที่ 2 เพื่อต้องการจะพบผู้เสียหายที่ 1 แต่ถูกนางสุบุญทาภริยาผู้เสียหายที่ 2 กับพวกช่วยกันจับไว้ไม่ให้เข้าบ้าน จำเลยแสดงอาการไม่พอใจและใช้มือกุมที่หลังคล้ายเหน็บอาวุธปืนไว้ นางสุบุญทาจึงบอกให้นางเขียนจันทร์ดึงอาวุธปืน (เป็นอาวุธปืนพลาสติก) ออกจากเอวจำเลยนางเขียนจันทร์จึงได้ดึงอาวุธปืนดังกล่าวออกจากเอวจำเลย จำเลยโมโหจะขึ้นบ้าน พอดีมีนายเนย ทุมมาพันธ์ ผู้ใหญ่บ้านมาถึงนางเขียนจันทร์ส่งอาวุธปืนให้นายเนย จำเลยบอกนายเนยว่ามีความประสงค์จะคุยกับนางสุบุญทาให้รู้เรื่อง แต่นายเนยเห็นว่าจำเลยมีอาการเมาสุราคงพูดกันไม่รู้เรื่อง จึงบอกให้จำเลยค่อยมาคุยวันหลังให้จำเลยกลับไป จำเลยแสดงอาการฮึดฮัดไม่พอใจ ขับรถวนไปมาแล้วขับออกจากบ้านผู้เสียหายที่ 2 ไปจากข้อนำสืบของโจทก์ดังกล่าว ศาลฎีกาเห็นว่าจำเลยไม่ได้ใช้อาวุธปืนจี้ขู่เข็ญผู้เสียหายที่ 2กับพวกแต่อย่างใด แม้จำเลยจะได้พกอาวุธปืนไว้ที่เอวให้ตุง ๆ เพื่อให้นางสุบุญทาและนางเขียนจันทร์เห็นพร้อมกับจำเลยได้เอามือข้างหนึ่งกุมไว้ด้านหลังก็ตามแต่ก็ไม่ได้ทำท่าจะยิงผู้เสียหายที่ 2 กับพวก จึงไม่มีลักษณะที่น่ากลัวหรือตกใจว่าจำเลยจะยิงผู้เสียหายจริงจังดังที่พูดหรือแสดง อาการดังกล่าวฟังได้ว่าจำเลยเพียงแสดงอาการฮึดฮัดหรืออารมณ์ที่ไม่พอใจเท่านั้นยังไม่พอว่าเป็นความผิดฐานนี้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ยกฟ้องข้อหานี้นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน