คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4743/2541

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นเห็นว่าโจทก์และจำเลย ได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน และศาลชั้นต้นได้พิพากษาตามยอม คดีถึงที่สุดแล้ว ทำให้หนี้ที่จำเลยได้ออกเช็คเพื่อใช้เงินนั้นได้สิ้นผลผูกพันไปก่อนศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดคดีจึงเป็นอันเลิกกันตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 7 สิทธิของโจทก์ในการนำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39 จึงมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีออกเสียจากสารบบความ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนย่อมมีผลเท่ากับว่าศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 220 ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของโจทก์มาโดยไม่ชอบศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้

ย่อยาว

คดีสองสำนวนนี้ ศาลชั้นต้นรวมพิจารณาและพิพากษารวมกัน
โจทก์ทั้งสองสำนวนฟ้องเป็นทำนองเดียวกันว่า ขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534มาตรา 4 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้องคดีทั้งสองสำนวน
จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ ต่อมาจำเลยทั้งสองขอถอนคำให้การเดิมที่รับสารภาพเป็นปฏิเสธว่าไม่ได้กระทำผิดตามฟ้องโดยอ้างว่ามูลหนี้ที่โจทก์อาศัยเป็นมูลฟ้องจำเลยทั้งสองเป็นคดีนี้เป็นมูลหนี้เดียวกันกับที่โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองเป็นคดีแพ่งคดีหมายเลขดำที่ 464/2537, 465/2537 ของศาลชั้นต้น ซึ่งโจทก์และจำเลยทั้งสองตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันในคดีแพ่ง และศาลได้พิพากษาตามยอมตามคดีหมายเลขแดงที่ 5/2538, 41/2538คดีถึงที่สุดแล้ว จึงมีผลทำให้มูลหนี้ตามเช็คที่จำเลยทั้งสองได้ออกเช็คนั้นสิ้นผลผูกพันแล้ว คดีจึงเลิกกันตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 7สิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์จึงระงับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(2)
ศาลชั้นต้นสอบโจทก์แล้ว โจทก์คัดค้านว่า คดีนี้จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพและได้ผ่อนชำระหนี้ให้กับโจทก์ก็มาเป็นเวลานานแล้วแต่โจทก์รับข้อเท็จจริงว่ามูลหนี้ตามเช็คทุกฉบับได้มีการฟ้องและทำสัญญาประนีประนอมยอมความในคดีแพ่งแล้ว
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วสั่งว่า เมื่อมูลหนี้ตามเช็คคดีนี้โจทก์นำไปฟ้องจำเลยทั้งสองให้ชดใช้เงิน เมื่อโจทก์และจำเลยทั้งสองได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความและศาลได้พิพากษาคดีตามยอมแล้วผลของการประนีประนอมยอมความดังกล่าวย่อมทำให้การเรียกร้องซึ่งแต่ละฝ่ายได้ยอมสละนั้นระงับสิ้นไปและทำให้แต่ละฝ่ายได้สิทธิตามที่แสดงในสัญญานั้นว่าเป็นของตน ดังที่ได้บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 852 ดังนั้น หนี้ที่จำเลยทั้งสองได้ออกเช็คตามฟ้องเพื่อใช้เงินนั้น จึงเป็นอันระงับสิ้นผลผูกพันคดีจึงเป็นอันเลิกกันตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 7 สิทธิของโจทก์ในการนำคดีมาฟ้องย่อมระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39ให้จำหน่ายคดีเสียจากสารบบความ คดีจึงไม่จำต้องสั่งเกี่ยวกับเรื่องที่จำเลยขอแก้ไขคำให้การ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การที่ศาลชั้นต้นเห็นว่าโจทก์และจำเลยทั้งสองได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน และศาลจังหวัดสตูลได้พิพากษาตามยอม คดีถึงที่สุดแล้ว ทำให้หนี้ที่จำเลยทั้งสองได้ออกเช็คเพื่อใช้เงินนั้นได้สิ้นผลผูกพันไปก่อนศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุด คดีจึงเป็นอันเลิกกันตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 7 สิทธิของโจทก์ในการนำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 39 จึงมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีออกเสียจากสารบบความเมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน ย่อมมีผลเท่ากับว่าศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายกฟ้องโจทก์ จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของโจทก์มาโดยไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
พิพากษายกฎีกาโจทก์

Share