คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4073/2541

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522มาตรา 43 ทวิ วรรคหนึ่ง บัญญัติห้ามมิให้ผู้ขับขี่เสพหรือรับเข้าร่างกายไม่ว่าด้วยวิธีใด ๆ ซึ่งวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทกลุ่มแอมเฟตามีน หรือวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทอย่างอื่นที่อธิบดีกำหนดโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา บทบัญญัติดังกล่าวประสงค์ที่จะเอาผิดและลงโทษผู้ขับขี่หรือรับ วัตถุออกฤทธิ์เข้าร่างกายเท่านั้น มิได้ประสงค์ที่จะเอาผิด และลงโทษผู้ขับขี่ที่เสพหรือรับยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 เข้าร่างกายด้วยประกอบกับตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 2 วรรคแรก หากไม่มีกฎหมายบัญญัติว่าการกระทำนั้น เป็นความผิดและกำหนดโทษไว้ ย่อมไม่อาจลงโทษบุคคลใด สำหรับการกระทำนั้นได้เมื่อปรากฏว่าขณะที่จำเลยซึ่งเป็นผู้ขับรถเสพเมทแอมเฟตามีนตามฟ้อง ได้มีประกาศกระทรวงสาธารณสุขฉบับที่ 97(พ.ศ. 2539) และฉบับที่ 135(พ.ศ. 2539) ออกมาใช้บังคับอยู่ก่อนแล้วซึ่งมีผลทำให้เมทแอมเฟตามีนไม่เป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 อีกต่อไปและระบุให้เมทแอมเฟตามีนเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 1การที่จำเลยซึ่งเป็นผู้ขับขี่เสพเมทแอมเฟตามีนจึงเป็นการกระทำ ที่ไม่ครบองค์ประกอบความผิดตามบทบัญญัติมาตรา 43 ทวิ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 ศาลย่อมไม่อาจ พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามบทบัญญัติมาตราดังกล่าว และไม่อาจลงโทษจำเลยและมีคำสั่งให้พักใช้หรือเพิกถอน ใบอนุญาตขับขี่รถยนต์ของจำเลยตามมาตรา 157 ทวิ วรรคหนึ่งแห่งพระราชบัญญัติเดียวกันได้ กรณีนี้มิได้เป็นเรื่องที่ประกาศกระทรวงสาธารณสุขทั้งสองฉบับดังกล่าวได้ยกเลิกความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522มาตรา 43 ทวิ วรรคหนึ่ง เนื่องจากความผิดตามบทบัญญัติมาตราดังกล่าวยังคงมีอยู่ มิได้ถูกยกเลิกไป อีกทั้งการเสพ เมทแอมเฟตามีนก็ยังคงเป็นความผิดตามกฎหมายอยู่ มิได้ถูกยกเลิกไปโดยประกาศกระทรวงสาธารณสุขทั้งสองฉบับ ดังกล่าวเช่นนั้น การกระทำดังกล่าวก็ยังเป็นความผิดตาม กฎหมายโดยกลายเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 57 และ 91 ซึ่งมีระวางโทษหนักกว่า นอกจากนี้ เดิมการเสพเมทแอมเฟตามีนไม่ถือเป็นความผิดตาม พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 แสดงว่าการออก ประกาศกระทรวงสาธารณสุขทั้งสองฉบับดังกล่าวมีวัตถุประสงค์ ที่จะลงโทษผู้เสพเมทแอมเฟตามีนให้หนักขึ้น ไม่ว่าผู้เสพ เมทแอมเฟตามีนจะเป็นผู้ขับรถหรือไม่ก็ตาม ทั้งการกระทำ ดังกล่าวยังเป็นความผิดตาม พระราชบัญญัติการขนส่งทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 102(3 ทวิ) ซึ่งเอาผิดกับผู้ขับรถ ที่เสพยาเสพติดให้โทษตามกฎหมายว่าด้วยยาเสพติดให้โทษ ในขณะปฏิบัติหน้าที่ขับรถอีกบทหนึ่ง อีกทั้งพระราชบัญญัติ การขนส่งทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 102(3 ตรี) ก็ยังเอา ผิดกับผู้ขับรถที่เสพวัตถุออกฤทธิ์ด้วย บทบัญญัติแห่งกฎหมาย ดังกล่าวยิ่งทำให้เห็นชัดขึ้นว่าการออกประกาศกระทรวงสาธารณสุขทั้งสองฉบับดังกล่าวมาใช้บังคับมิได้มีวัตถุประสงค์ที่จะให้การเสพเมทแอมเฟตามีนยังคงเป็นความผิดต่อไปตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522มาตรา 43 ทวิ วรรคหนึ่ง การพักใช้ใบอนุญาตขับขี่หรือเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่รถยนต์ไม่ใช่โทษตามกฎหมาย เมื่อการเสพเมทแอมเฟตามีนของผู้ขับรถในขณะขับรถไม่อาจถือเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 43 ทวิ วรรคหนึ่งศาลย่อมไม่อาจสั่งให้พักหรือเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่รถยนต์ตามพระราชบัญญัติจราจรทางบกฯ มาตรา 157 ทวิ ได้อยู่ในตัว แม้โจทก์ฎีกาฝ่ายเดียว หากศาลฎีกาเห็นว่าโทษที่ศาลอุทธรณ์กำหนดมาสูงเกินไป ศาลฎีกาย่อมกำหนดโทษเสียใหม่ให้เหมาะสมกับรูปคดีได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2540 เวลากลางคืนก่อนเที่ยง จำเลยซึ่งเป็นผู้ได้รับใบอนุญาตปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้ขับรถได้เสพเมทแอมเฟตามีน อันเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท1 ในขณะปฏิบัติหน้าที่ขับรถโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 4,7, 8, 57 และ 91 พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522มาตรา 43 ทวิ และ 157 ทวิ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90พักใช้ใบอนุญาตขับขี่รถยนต์ของจำเลยมีกำหนดไม่น้อยกว่า6 เดือน หรือเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่รถยนต์ของจำเลย
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 57 และ 91 พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 43 ทวิ วรรคหนึ่ง และ257 ทวิ วรรคหนึ่ง เป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษอันเป็นบทหนักที่มีโทษหนักที่สุด จำคุก 2 ปี และปรับ 40,000 บาทจำเลยให้การรับสารภาพ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 1 ปี และปรับ20,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปีให้คุมความประพฤติของจำเลยโดยให้จำเลยไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติทุก 2 เดือน เป็นเวลา 1 ปี ให้จำเลยทำงานบริการสังคมหรือกิจกรรมสาธารณประโยชน์ตามที่พนักงานคุมประพฤติและจำเลยเห็นสมควรเป็นเวลา 12 ชั่วโมงห้ามเกี่ยวข้องกับวัตถุออกฤทธิ์ ยาเสพติดให้โทษและสารระเหยและพักใช้ใบอนุญาตขับขี่รถยนต์ของจำเลยมีกำหนด 6 เดือนไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29และ 30
โจทก์อุทธรณ์ขอให้ไม่รอการลงโทษ
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ไม่รอการลงโทษให้จำเลย ไม่ปรับและไม่คุมความประพฤติจำเลย ยกฟ้องโจทก์สำหรับความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522มาตรา 43 ทวิ วรรคหนึ่ง และ 157 ทวิ วรรคหนึ่ง และยกคำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้พักใช้ใบอนุญาตขับขี่รถยนต์ของจำเลย นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาข้อกฎหมายที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า การกระทำของจำเลยยังคงเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 43 ทวิ วรรคหนึ่งและ 157 ทวิ วรรคหนึ่ง อยู่หรือไม่
โจทก์ฎีกาว่า แม้ประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 97(พ.ศ. 2539) และฉบับที่ 135 (พ.ศ. 2539) มีผลทำให้เมทแอมเฟตามีนมิใช่วัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 และเปลี่ยนไปเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 ก็ตามแต่เมทแอมเฟตามีนยังคงเป็นกลุ่มแอมเฟตามีนอย่างหนึ่ง ผู้ขับขี่ที่เสพหรือรับเข้าสู่ร่างกายยังต้องมีความผิดตามความในพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522มาตรา 43 ทวิ วรรคหนึ่ง และมาตรา 157 ทวิ วรรคหนึ่ง ทั้งประกาศกระทรวงสาธารณสุขทั้งสองฉบับไม่อาจมีผลถึงกับยกเลิกความผิดดังกล่าว เห็นว่าพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522มาตรา 43 ทวิ วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “ห้ามมิให้ผู้ขับขี่เสพหรือรับเข้าร่างกายไม่ว่าด้วยวิธีใด ๆ ซึ่งวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทกลุ่มแอมเฟตามีน หรือวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทอย่างอื่นที่อธิบดีกำหนดโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา” แสดงว่าบทบัญญัติดังกล่าวประสงค์ที่จะเอาผิดและลงโทษผู้ขับขี่ที่เสพหรือรับวัตถุออกฤทธิ์เข้าร่างกายเท่านั้น มิได้ประสงค์ที่จะเอาผิดและลงโทษผู้ขับขี่ที่เสพหรือรับยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 เข้าร่างกายด้วย ประกอบกับประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 2 วรรคแรกบัญญัติว่า “บุคคลจักต้องรับโทษในทางอาญาต่อเมื่อได้กระทำการอันกฎหมายที่ใช้ในขณะนั้นบัญญัติเป็นความผิดและกำหนดโทษไว้”แสดงว่าหากไม่มีกฎหมายบัญญัติว่ากระทำนั้นเป็นความผิดและกำหนดโทษไว้ ย่อมไม่อาจลงโทษบุคคลใดสำหรับการกระทำนั้นได้ ดังนี้ เมื่อปรากฏว่าขณะที่จำเลยซึ่งเป็นผู้ขับรถเสพเมทแอมเฟตามีนตามฟ้อง ได้มีประกาศกระทรวงสาธารณสุขฉบับที่ 97 (พ.ศ. 2539) และฉบับที่ 135 (พ.ศ. 2539)ออกมาใช้บังคับอยู่ก่อนแล้วซึ่งมีผลให้เมทแอมเฟตามีนไม่เป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 อีกต่อไปและระบุให้เมทแอมเฟตามีนเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 การที่จำเลยซึ่งเป็นผู้ขับขี่เสพเมทแอมเฟตามีนจึงเป็นการกระทำที่ไม่ครบองค์ประกอบความผิดตามบทบัญญัติมาตรา 43 ทวิ วรรคหนึ่งแห่งพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 ศาลย่อมไม่อาจพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามบทบัญญัติมาตราดังกล่าว และไม่อาจลงโทษจำเลยและมีคำสั่งให้พักใช้หรือเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่รถยนต์ของจำเลยตามมาตรา 157 ทวิ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติเดียวกันได้ กรณีนี้มิได้เป็นเรื่องที่ประกาศกระทรวงสาธารณสุขทั้งสองฉบับยกเลิกความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 43 ทวิ วรรคหนึ่งแต่อย่างใด เนื่องจากความผิดตามบทบัญญัติมาตราดังกล่าวยังคงมีอยู่ มิได้ถูกยกเลิกไป กล่าวคือ ผู้ขับขี่ที่เสพหรือรับเข้าร่างกายซึ่งวัตถุออกฤทธิ์กลุ่มแอมเฟตามีนอื่นนอกจากเมทแอมเฟตามีนหรือวัตถุออกฤทธิ์อย่างอื่นที่อธิบดีกรมตำรวจกำหนดยังคงต้องมีความผิดตามบทบัญญัติมาตราดังกล่าว อีกทั้งการเสพเมทแอมเฟตามีนก็ยังคงเป็นความผิดตามกฎหมายอยู่มิได้ถูกยกเลิกไปโดยประกาศกระทรวงสาธารณสุขทั้งสองฉบับดังกล่าวเช่นกัน กล่าวคือ แม้การเสพเมทแอมเฟตามีนของผู้ขับรถจะไม่เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522มาตรา 43 ทวิ วรรคหนึ่ง และมาตรา 157 ทวิ ซึ่งมีระวางโทษจำคุกเพียงไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับตั้งแต่ 5,000 บาท ถึง20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับต่อไป แต่การกระทำดังกล่าวก็ยังเป็นความผิดตามกฎหมายโดยกลายเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 57และ 91 ซึ่งมีระวางโทษหนักกว่า โดยกฎหมายกำหนดโทษจำคุกไว้ตั้งแต่ 6 เดือน ถึง 10 ปี และปรับตั้งแต่ 5,000 บาทถึง 100,000 บาท ซึ่งเดิมการเสพเมทแอมเฟตามีนไม่ถือเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522แต่อย่างใด แสดงว่าการออกประกาศกระทรวงสาธารณสุขทั้งสองฉบับดังกล่าวมีวัตถุประสงค์ที่จะลงโทษผู้เสพเมทแอมเฟตามีนให้หนักขึ้น ไม่ว่าผู้เสพเมทแอมเฟตามีนจะเป็นผู้ขับรถหรือไม่ก็ตามทั้งการกระทำดังกล่าวยังเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 102 (3 ทวิ) ซึ่งเอาผิดกับผู้ขับรถที่เสพยาเสพติดให้โทษตามกฎหมายว่าด้วยยาเสพติดให้โทษในขณะปฏิบัติหน้าที่ขับรถอีกบทหนึ่ง นอกจากนี้พระราชบัญญัติการขนส่งทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 102 (3 ตรี) ยังเอาผิดกับผู้ขับรถที่เสพวัตถุออกฤทธิ์ด้วย บทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวยิ่งทำให้เห็นชัดขึ้นว่าการออกประกาศกระทรวงสาธารณสุขทั้งสองฉบับดังกล่าวมาใช้บังคับมิได้มีวัตถุประสงค์ที่จะให้การเสพเมทแอมเฟตามีนยังคงเป็นความผิดต่อไปตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522มาตรา 43 ทวิ วรรคหนึ่ง ส่วนการพักใช้ใบอนุญาตขับขี่หรือเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่รถยนต์ไม่ใช่โทษตามกฎหมายเมื่อการเสพเมทแอมเฟตามีนของผู้ขับรถในขณะขับรถไม่อาจถือเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 43 ทวิ วรรคหนึ่ง กรณีย่อมไม่อาจสั่งให้พักหรือเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่รถยนต์ได้อยู่ในตัว
อนึ่ง ศาลฎีกาเห็นว่าโทษที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 กำหนดมาสูงเกินไป สมควรกำหนดใหม่ให้เหมาะสมกับรูปคดี
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษจำคุกจำเลยมีกำหนด 6 เดือนจำเลยให้การรับสารภาพ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 3 เดือนนอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1

Share