คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2497/2541

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยว่าจ้างผู้เสียหายขับรถจักรยานยนต์ไปส่งจำเลยโดยจำเลยไม่ได้พกมีดปลายแหลมไป เมื่อถึงที่เกิดเหตุจำเลยบอกให้หยุดรถ ผู้เสียหายหยุดรถเพราะรู้สึกว่ามีมีดปลายแหลมจี้ที่ด้านหลัง และโจทก์ก็ไม่ได้นำสืบให้เห็นว่า สิ่งที่ผู้เสียหายเข้าใจว่าเป็นมีดปลายแหลมนั้นคืออะไร และสามารถใช้เป็นอาวุธได้หรือไม่ จึงต้องสันนิษฐาน ในทางที่เป็นคุณแก่จำเลยว่าสิ่งของนั้นไม่สามารถใช้เป็นอาวุธได้ การที่ผู้เสียหายตกใจกลัวจึงเป็นเรื่องที่ผู้เสียหายกลัวไปเอง และคำพูดที่จำเลยบอกให้ผู้เสียหายหยุดรถ โจทก์ก็ไม่ได้ นำสืบให้เห็นว่าเป็นคำพูดลักษณะใดอันจะแสดงว่าเป็นการขู่เข็ญ ว่าในทันทีทันใดนั้นจะใช้กำลังประทุษร้ายหรือข่มขืนใจให้ผู้เสียหายหยุดรถ นอกจากนั้น ผู้เสียหายทราบว่าในขณะนั้นจำเลยจะไปเยี่ยมภริยาจำเลยที่โรงพยาบาล การที่จำเลยนำรถจักรยานยนต์ไปจอดที่ลานจอดรถของโรงพยาบาลในลักษณะเปิดเผย จนกระทั่งเจ้าพนักงานตำรวจตามยึดคืนได้ในวันรุ่งขึ้น ประกอบกับจำเลยไม่ได้หลบหนีไปที่ใดทั้งที่รู้ว่าผู้เสียหาย และ เพื่อนผู้เสียหายทราบที่อยู่ของจำเลย จึงเป็นการแสดงว่าเมื่อผู้เสียหายกระโดดหนีจากรถจักรยานยนต์แล้วจำเลยก็ขับรถจักรยานยนต์ไปยังจุดมุ่งหมายแล้วจอดรถทิ้งไว้โดยไม่ประสงค์จะเอารถจักรยานยนต์ไว้เพื่อเป็นประโยชน์สำหรับตนหรือผู้อื่น การกระทำของจำเลยจึงขาดเจตนาทุจริตในการลักทรัพย์ การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานชิงทรัพย์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยพกอาวุธมีดปลายแหลมติดตัวไปในหมู่ที่ 4 อำเภอคลองหลวงและไปตามถนนพหลโยธินอำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานีซึ่งเป็นเมืองหมู่บ้านและทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควรและจำเลยกระทำการชิงทรัพย์รถจักรยานยนต์ของบริษัทไฮเวย์ จำกัด ขณะอยู่ในความครอบครองของนายมานิตย์ จันทร์ลอยผู้เสียหายไปโดยทุจริตโดยจำเลยใช้อาวุธมีดปลายแหลมที่พาติดตัวไปดังกล่าวจี้บังคับขู่เข็ญว่าจะแทงผู้เสียหายหากขัดขืน และใช้กำลังประทุษร้ายโดยใช้มือผลักผู้เสียหายให้ลงจากรถจักรยานยนต์คันดังกล่าว ทั้งนี้เพื่อให้ความสะดวกแก่การลักทรัพย์การพาทรัพย์นั้นไป เพื่อยึดถือเอาทรัพย์นั้นไว้และเพื่อให้พ้นจากการจับกุมขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 339, 371, 91
จำเลยให้การปฏิเสธ แต่รับว่าได้เอารถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายไปในคืนเกิดเหตุโดยผู้เสียหายไม่ยินยอมจริง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 339 วรรคสอง ให้จำคุก 12 ปี จำเลยรับสารภาพในชั้นจับกุมและคำให้การของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 8 ปี ข้อหาอื่นให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเป็นอันยุติในเบื้องต้นว่า เมื่อวันเวลาและสถานที่ที่เกิดเหตุตามฟ้อง จำเลยว่าจ้างนายมานิตย์ จันทร์ลอย ผู้เสียหายให้ขับรถจักรยานยนต์หมายเลขทะเบียน กรุงเทพมหานคร 3 ว – 3177ซึ่งเป็นของบริษัทไฮเวย์ จำกัด ที่นางสาวสนอง จันทร์ลอยพี่สาวของผู้เสียหายเป็นผู้เช่าซื้อให้ไปส่งจำเลย ณสถานที่แห่งหนึ่ง เมื่อผู้เสียหายขับรถจักรยานยนต์ถึงบริเวณสะพานสำหรับรถยนต์ข้ามแยก หน้าศูนย์การค้าเมอร์รี่คิงส์รังสิตอันเป็นที่เกิดเหตุผู้เสียหายหยุดรถและกระโดดลงจากรถจักรยานยนต์เนื่องจากกลัวจำเลยจำเลยจึงขับรถจักรยานยนต์ไป ต่อมาเจ้าพนักงานตำรวจยึดรถจักรยานยนต์คันดังกล่าวได้ที่บริเวณลานจอดรถโรงพยาบาลภูมิพลและในวันนั้นจำเลยไม่ได้พาอาวุธมีดไปตามฟ้องปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ก็มีเพียงข้อเดียวว่าจำเลยกระทำความผิดฐานชิงทรัพย์หรือไม่ เห็นว่าแม้โจทก์จะมีผู้เสียหายเป็นประจักษ์พยานเบิกความยืนยันว่าเมื่อถึงที่เกิดเหตุจำเลยบอกให้หยุดรถ ผู้เสียหายหยุดรถเพราะรู้สึกว่ามีมีดปลายแหลมจี้ที่ด้านหลัง แต่ข้อเท็จจริงก็รับฟังได้เป็นที่ยุติดังกล่าวข้างต้นแล้วว่า ในขณะนั้นจำเลยไม่ได้พามีดปลายแหลมไปด้วยและโจทก์ก็ไม่ได้นำสืบให้เห็นว่าสิ่งที่ผู้เสียหายเข้าใจว่าเป็นมีดปลายแหลมนั้นคืออะไรและสามารถใช้เป็นอาวุธได้หรือไม่ จึงต้องสันนิษฐานในทางที่เป็นคุณแก่จำเลยว่าสิ่งของนั้นไม่สามารถใช้เป็นอาวุธได้การที่ผู้เสียหายตกใจกลัวจึงเป็นเรื่องที่ผู้เสียหายกลัวไปเองและคำพูดที่จำเลยบอกให้ผู้เสียหายหยุดรถ โจทก์ไม่ได้นำสืบให้เห็นว่าเป็นคำพูดลักษณะใด อันจะแสดงว่าเป็นการขู่เข็ญว่าในทันใดนั้นจะใช้กำลังประทุษร้ายหรือข่มขืนใจให้ผู้เสียหายหยุดรถนอกจากนั้นพยานโจทก์ปากนายภิญโญ บุญกึกและร้อยตำรวจเอกสมเดช เกษมสุขพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรตำบลคูคตก็เบิกความสอดคล้องกันว่า ผู้เสียหายทราบว่าในขณะนั้นจำเลยจะไปเยี่ยมภริยาของจำเลยที่โรงพยาบาลภูมิพลการที่จำเลยนำรถจักรยานยนต์ไปจอดที่ลานจอดรถโรงพยาบาลภูมิพลในลักษณะเปิดเผยจนกระทั่งเจ้าพนักงานตำรวจตามมายึดคืนได้ในวันรุ่งขึ้น ประกอบกับจำเลยไม่ได้หลบหนีไปที่ใดทั้งที่รู้ว่าผู้เสียหายและนายภิญโญเพื่อนผู้เสียหายทราบที่อยู่ของจำเลยจึงเป็นการแสดงว่าเมื่อผู้เสียหายกระโดดหนีจากรถจักรยานยนต์แล้ว จำเลยก็ขับรถจักรยานยนต์ไปยังจุดมุ่งหมายแล้วจอดรถทิ้งไว้โดยไม่ประสงค์จะเอารถจักรยานยนต์ไว้เพื่อเป็นประโยชน์สำหรับตนเองหรือผู้อื่น การกระทำของจำเลยจึงขาดเจตนาทุจริตในการลักทรัพย์ เมื่อเป็นเช่นนี้การกระทำของจำเลยก็ไม่เป็นความผิดฐานชิงทรัพย์ส่วนที่โจทก์ฎีกาอ้างว่าการที่จำเลยสามารถขับรถจักรยานยนต์ไปได้ทั้งที่ผู้เสียหายถอดกุญแจรถออกแล้ว แสดงว่าจำเลยจะต้องใช้วิธีการอย่างหนึ่งทำให้เครื่องยนต์ติดหรือจำเลยกำลังต้องการเงินรักษาพยาบาลภริยาจึงวางแผนชิงรถจักรยานยนต์คันดังกล่าว ก็ล้วนแต่เป็นเรื่องที่โจทก์คาดหมายเองทั้งสิ้นที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายกฟ้องโจทก์ ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share