คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2472/2541

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้บันทึกคำให้การชั้นสอบสวนของ ต. จะเป็นพยานบอกเล่าซึ่งโดยลำพังไม่อาจจะรับฟังชี้ลงไปได้ว่าจำเลยทั้งสองเป็นผู้กระทำความผิด แต่อาจรับฟังประกอบพยานหลักฐานอื่นของโจทก์ได้ เมื่อโจทก์มีพันตำรวจตรี ว.พนักงานสอบสวนเบิกความว่า จำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพและมีรายละเอียดเป็นขั้นตอนโดยให้การในวันรุ่งขึ้นหลังจากวันที่ถูกจับ อีกทั้งยังได้ความจากคำเบิกความของร้อยตำรวจเอก ส. ว่าเจ้าพนักงานตำรวจได้ตรวจค้นจำเลยที่ 2 พบเงินสดอยู่ในความครอบครองของจำเลยที่ 2จำนวน 30,000 บาทเศษ ซึ่งจำเลยที่ 2 ให้การรับว่าเป็นเงินที่ได้มาจากการชิงทรัพย์ และได้นำเจ้าพนักงานตำรวจไปชี้จุดที่จำเลยที่ 2 นำทรัพย์สินบางส่วนที่ได้มาจากการชิงทรัพย์ของผู้เสียหายทั้งสองไปฝังไว้ด้วยเช่นนี้ เมื่อพิจารณาคำให้การชั้นสอบสวนของ ต. ประกอบกับคำให้การรับสารภาพชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 2 และบันทึกการนำชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพแล้ว พยานหลักฐานของโจทก์รับฟังได้ว่าจำเลยที่ 2 ชิงทรัพย์ผู้เสียหายจริงตามฟ้อง ส่วนจำเลยที่ 1 นั้น นอกจากคำให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนแล้ง คงมีเพียงคำให้การของจำเลยที่ 2 ที่ชัดทอดว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้ใช้ให้กระทำความผิดซึ่งเป็นคำชัดทอดระหว่างผู้กระทำความผิดด้วยกัน จึงยังไม่อาจรับฟังว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้กระทำความผิดฐานเป็นผู้ใช้ให้ผู้อื่นกระทำความผิดฐานชิงทรัพย์ตามฟ้อง แม้พยานหลักฐานของโจทก์จะฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้ลงมือกระทำผิดฐานรับของโจร แต่โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 1เป็นผู้ก่อให้จำเลยที่ 2 กระทำความผิดฐานชิงทรัพย์ด้วยการใช้จ้างวาน มิได้ฟ้องว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้ลงมือกระทำความผิดฐานชิงทรัพย์ ข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในการพิจารณาจึงแตกต่างกับข้อเท็จจริงดังที่กล่าวในฟ้องในข้อสาระสำคัญกรณีย่อมไม่อาจลงโทษจำเลยที่ 1 ในความผิดฐานรับของโจรตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสองได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ใช้จ้างวานจำเลยที่ 2 กับพวกอีกคนหนึ่งให้ร่วมกันชิงทรัพย์นายยิ่งยง สีฬหานิภัณฑ์ ผู้เสียหายที่ 1 กับนางยินดี เป็ดสุวรรณ ผู้เสียหายที่ 2 และเมื่อวันที่11 พฤษภาคม 2536 เวลากลางคืน หลังเที่ยง จำเลยที่ 2 กับพวกอีก 1 คน ซึ่งยังไม่ได้ตัวมาฟ้องร่วมกันมีอาวุธปืนสั้น 1 กระบอกติดตัวไปชิงทรัพย์ของผู้เสียหายที่ 1 จำนวน 10 รายการ เป็นเงิน81,400 บาท และของผู้เสียหายที่ 2 จำนวน 16 รายการ เป็นเงิน74,000 บาท โดยในการชิงทรัพย์ดังกล่าวจำเลยที่ 2 กับพวกใช้อาวุธปืนจี้บังคับขู่เข็ญผู้เสียหายทั้งสองว่าในทันใดนั้นจะใช้อาวุธปืนยิงประทุษร้ายผู้เสียหายทั้งสอง หากขัดขืนและใช้กำลังประทุษร้ายแย่งชิงทรัพย์ดังกล่าวข้างต้นจากผู้เสียหายทั้งสองจนเป็นเหตุให้ผู้เสียหายที่ 2 ได้รับอันตรายแก่กาย บาดเจ็บที่บริเวณหัวเข่าและนิ้วเท้า ทั้งนี้เพื่อให้ความสะดวกแก่การชิงทรัพย์และพาทรัพย์นั้นไป เพื่อให้ยื่นให้ซึ่งทรัพย์ เพื่อยึดถือเอาทรัพย์นั้นไว้ และเพื่อให้พ้นจากการจับกุม และจำเลยที่ 2 กับพวกดังกล่าวใช้รถจักรยานยนต์ 1 คัน เป็นยานพาหนะเพื่อกระทำผิด เพื่อพาทรัพย์นั้นไป และเพื่อให้พ้นการจับกุมขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 84, 339 และ 340 ตรี กับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนหรือใช้ราคาทรัพย์จำนวน 19,400 บาท ที่ยังไม่ได้คืนแก่ผู้เสียหายทั้งสองด้วย
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339 วรรคสาม ประกอบมาตรา 340 ตรีและ 84 จำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339 วรรคสาม ประกอบมาตรา 340 ตรี และ 83 ลงโทษจำคุกคนละ 15 ปี ลดโทษให้หนึ่งในสามคงจำคุกจำเลยทั้งสองคนละ 10 ปี กับให้จำเลยทั้งสองคืนหรือใช้ราคาทรัพย์จำนวน 19,400 บาท ที่ยังไม่ได้คืนแก่ผู้เสียหายทั้งสอง
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดฐานรับของโจรตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357 วรรคสอง ให้จำคุกคนละ 9 ปี ลดโทษหนึ่งในสาม คงจำคุกคนละ 6 ปี นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์และจำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้องมีคนร้าย 1 คน ใช้อาวุธปืนพกขู่เข็ญนายยิ่งยง ลีฬหานิภัณฑ์ และนางยินดี เป็ดสุวรรณ ผู้เสียหายที่ 1และที่ 2 และชิงเอาทรัพย์สินของผู้เสียหายทั้งสองแล้ว คนร้ายคนหนึ่งวิ่งไปซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ซึ่งคนร้ายอีกคนหนึ่งจอดรออยู่แล้วหลบหนีไป
มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยทั้งสองกระทำผิดฐานชิงทรัพย์ตามที่ศาลชั้นต้นพิพากษาหรือไม่ เห็นว่าในขณะเกิดเหตุเมื่อคนร้ายคนหนึ่งเข้าชิงทรัพย์ผู้เสียหายทั้งสองและหลบหนีขึ้นรถจักรยานยนต์ที่คนร้ายอีกคนหนึ่งรอรับอยู่นั้นผู้เสียหายทั้งสองมิได้เบิกความยืนยันว่าจำเลยที่ 2 เป็นคนร้ายที่ลงมือชิงทรัพย์หรือเป็นคนร้ายที่ขับรถจักรยานยนต์ เหตุที่รู้ว่าผู้ใดเป็นคนร้ายทั้งสองคนดังกล่าวและผู้ใดเป็นผู้ใช้ให้คนร้ายทั้งสองคนมาชิงทรัพย์นั้น ร้อยตำรวจเอกสุริยารัตนกาญจนพันธ์ เบิกความว่า ผู้ใต้บังคับบัญชาของพยานสืบทราบจากนายตระกูล จันทโกมุท ว่า จำเลยที่ 1 เคยชักชวนให้นายตระกูลชิงทรัพย์ผู้เสียหายทั้งสองโดยมีจำเลยที่ 2 ร่วมด้วยแต่นายตระกูลปฏิเสธ พยานจึงติดตามจับจำเลยที่ 2 ได้เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2536 และจำเลยที่ 2 ยอมรับว่าจำเลยที่ 1วางแผนและนายสมชายหรืออู๊ด จำนามสกุลไม่ได้เป็นผู้ใช้อาวุธปืนจี้ชิงกระเป๋าถือของผู้เสียหายที่ 2 ส่วนจำเลยที่ 2 ทำหน้าที่ขับรถจักรยานยนต์รอรับนายสมชายเพื่อหลบหนี พยานจึงติดตามจับจำเลยที่ 1 ได้ พยานแจ้งข้อหาแก่จำเลยที่ 1 ว่า เป็นผู้ใช้ให้ผู้อื่นกระทำผิดฐานชิงทรัพย์ จำเลยที่ 1 ให้การปฏิเสธ แต่นายตระกูลที่รู้เห็นดังกล่าวมิได้มาเบิกความ คงมีแต่บันทึกคำให้การชั้นสอบสวนของนายตระกูลตามเอกสารหมาย จ.16 ซึ่งร้อยตำรวจตรีณรงค์ ลักษณะวิมล เป็นผู้สอบสวนไว้ บันทึกคำให้การดังกล่าวเป็นพยานบอกเล่าซึ่งโดยลำพังไม่อาจรับฟังชี้ลงไปได้ว่าจำเลยทั้งสองเป็นผู้กระทำความผิด แต่อาจรับฟังประกอบพยานหลักฐานอื่นของโจทก์ได้ ทั้งนี้ได้ความต่อมาจากคำเบิกความของพันตำรวจตรีวัชรศิริ ราชรักษ์ พนักงานสอบสวนว่า เมื่อจำเลยที่ 2 ถูกจับและพนักงานสอบสวนทำการสอบสวนจำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพ ซึ่งคำให้การดังกล่าวมีรายละเอียดเป็นขั้นตอนโดยให้การในวันรุ่งขึ้นจากวันที่ถูกจับ ทั้งได้ความจากคำเบิกความของร้อยตำรวจเอกสุริยาว่าเจ้าพนักงานตำรวจได้ตรวจค้นจำเลยที่ 2 พบเงินสดอยู่ในความครอบครองของจำเลยที่ 2 จำนวน30,000 บาทเศษ ซึ่งจำเลยที่ 2 ให้การรับว่าเป็นเงินที่ได้มาจากการชิงทรัพย์ กับนำเจ้าพนักงานตำรวจไปชี้จุดที่จำเลยที่ 2นำทรัพย์สินบางส่วนที่ได้มาจากการชิงทรัพย์ของผู้เสียหายทั้งสองไปฝังไว้ดังภาพถ่ายแผ่นที่ 1 ในบันทึกการนำชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพเอกสารหมาย จ.19 ซึ่งพบถุงใส่ทองขนาดเล็กสมุดคู่มือเงินฝากธนาคาร กระเป๋าพกติดตัวขนาดเล็ก และทรัพย์สินอื่นของผู้เสียหายทั้งสองอีก ที่จำเลยที่ 2 เบิกความว่าเจ้าพนักงานตำรวจทำร้ายจำเลยที่ 2 จนทนความเจ็บปวดไม่ไหวจึงยอมลงชื่อในเอกสารซึ่งไม่ได้กรอกข้อความนั้นจึงเป็นไปไม่ได้เพราะข้อความในเอกสารดังกล่าวมีรายละเอียดระบุถึงเหตุการณ์ต่าง ๆ เป็นขั้นตอน ซึ่งพนักงานสอบสวนไม่อาจทีจะเขียนขึ้นเองได้เมื่อฟังคำให้การชั้นสอบสวนของนายตระกูลประกอบกับคำให้การรับสารภาพชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 2 และบันทึกการนำชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพพร้อมภาพถ่ายแล้วเห็นว่า พยานหลักฐานของโจทก์สอดคล้องต้องกันรับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยที่ 2กระทำผิดฐานชิงทรัพย์ตามที่ศาลชั้นต้นพิพากษา
ส่วนจำเลยที่ 1 นั้น นอกจากคำให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนแล้ว คงมีเพียงคำให้การของจำเลยที่ 2 ที่ชัดทอดว่าจำเลยที่ 1เป็นผู้ใช้ให้กระทำความผิดซึ่งเป็นคำชัดทอดระหว่างผู้กระทำความผิดด้วยกัน จึงยังไม่อาจรับฟังว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้กระทำความผิดฐานเป็นผู้ใช้ให้ผู้อื่นกระทำความผิดฐานชิงทรัพย์ตามที่ศาลชั้นต้นพิพากษาได้ และการนำชี้สถานที่นำทรัพย์สินที่ได้จากการชิงทรัพย์ไปขายในที่ต่าง ๆ นั้นมีเพียงจำเลยที่ 2 เท่านั้นเป็นผู้นำชี้รวมทั้งการติดตามไปเอาทรัพย์สินที่ฝังซ่อนไว้และที่นำไปไว้ที่บ้านนางบุปผาหรือหญิง ฤกษ์เมือง ภรรยาน้อยของจำเลยที่ 1คงมีเฉพาะการนำยึดเงินสดจำนวน 40,000 บาทเศษ ที่ห้างหุ้นส่วนจำกัด นำสุราษฎร์เท่านั้น ที่จำเลยที่ 1 นำชี้ ซึ่งเพียงพยานหลักฐานดังกล่าวยังไม่มีน้ำหนักเพียงพอให้ฟังลงโทษจำเลยที่ 1ในความผิดฐานดังกล่าวได้ ดังนั้น เมื่อในชั้นพิจารณาจำเลยที่ 1ให้การปฏิเสธและพยานหลักฐานโจทก์ยังไม่มีน้ำหนักและเหตุผลเชื่อมโยงกัน จึงไม่อาจชี้ชัดว่าจำเลยที่ 1 กระทำผิดฐานเป็นผู้ใช้ให้ผู้อื่นกระทำผิดฐานชิงทรัพย์ตามที่ศาลชั้นต้นพิพากษา
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ว่า จำเลยที่ 1กระทำผิดฐานรับของโจรหรือไม่ เห็นว่า แม้พยานหลักฐานของโจทก์จะฟังได้ตามที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้ลงมือกระทำผิดฐานรับของโจร แต่ปรากฏตามคำฟ้องของโจทก์ว่าโจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้ก่อให้จำเลยที่ 2 กระทำความผิดฐานชิงทรัพย์ด้วยการใช้จ้างวาน มิได้ฟ้องว่าจำเลยที่ 1เป็นผู้ลงมือกระทำความผิดฐานชิงทรัพย์ ข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในการพิจารณาจึงแตกต่างกับข้อเท็จจริงดังที่กล่าวในฟ้องในข้อสาระสำคัญ กรณีย่อมไม่อาจลงโทษจำเลยที่ 1 ในความผิดฐานรับของโจรได้ทั้งนี้ ตามบทบัญญัติมาตรา 192 วรรคสอง แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ต้องพิพากษายกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 1 ในข้อหาความผิดดังกล่าวไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาของจำเลยที่ 1 ต่อไป ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1ฐานรับของโจรนั้น ศาลฎีกายังไม่เห็นพ้องด้วย
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับคดีแก่จำเลยที่ 2 ไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้จำเลยที่ 2 คืนหรือใช้ราคาทรัพย์จำนวน19,400 บาท ที่ยังไม่ได้คืนแก่ผู้เสียหายทั้งสอง และให้ยกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 1

Share