คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1373/2541

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์ไม่มีพยานที่เห็นว่าจำเลยเป็นผู้นำเฮโรอีนของกลางไปซุกซ่อนไว้ใต้ต้นปาล์ม เฮโรอีนของกลางที่ยึดได้อยู่ห่างบ้านจำเลยถึง 15 เมตร และซุกซ่อนอยู่ในถุงพลาสติกครอบด้วยกะลามะพร้าวใต้ต้นปาล์มติดแนวเขตที่ดินจำเลยซึ่งปกติย่อมยากที่เจ้าพนักงานตำรวจจะตรวจค้นพบได้นอกจากเจ้าพนักงานตำรวจจะทราบล่วงหน้าถึงสถานที่ซุกซ่อนเฮโรอีนของกลาง แต่ก็ไม่ปรากฏว่าเช่นว่านั้นทำให้เป็นที่สงสัย และหากเฮโรอีนของกลางเป็นของจำเลยก็น่าจะซุกซ่อนในที่ที่ปลอดภัยกว่านี้ไม่น่าจะซุกซ่อนใกล้ชิดกับแนวเขตที่ดินของผู้อื่นโดยไม่มีรั้วกั้นเขตแดนและเป็นที่โล่งแจ้งซึ่งความปลอดภัยมีน้อยอีกทั้งสถานที่พบเฮโรอีนของกลางอยู่ห่างจากบ้านจำเลยโดยมี สวนกาแฟคั่นใกล้แนวเขตที่ดินของผู้อื่นและไม่มีรั้วกั้นโอกาสที่ผู้อื่นจะนำมาซุกซ่อนย่อมเป็นไปได้ไม่ยาก ทั้งในการตรวจค้นจำเลยก็นำตำรวจค้นโดยมิได้ขัดขืนแต่ประการใดและจำเลยให้การปฏิเสธตลอดมาว่าเฮโรอีนของกลางมิใช่ของจำเลย ประกอบกับใบบันทึกการตรวจสถานที่เกิดเหตุแผนที่แสดงสถานที่ เกิดเหตุและภาพถ่ายประกอบคดีไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าจำเลย หลบหนีหรือแสดงจุดที่จับกุมจำเลยได้ พยานหลักฐานโจทก์จึงยัง เป็นที่สงสัยตามสมควรว่าเฮโรอีนของกลางจำเลยเป็นผู้ที่มี ไว้ในครอบครองหรือไม่ ต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้เป็น ผลดีแก่จำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 227 วรรคสอง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษพ.ศ. 2522 มาตรา 7, 8, 15, 66, 67
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง, 67จำคุก 1 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง เจ้าพนักงานตำรวจได้ตรวจค้นบ้านจำเลยเพื่อค้นและยึดสิ่งของผิดกฎหมายตามหมายค้นเอกสารหมาย จ.2 ผลของการตรวจค้นไม่พบสิ่งของผิดกฎหมายภายในบ้านของจำเลยแต่พบเฮโรอีนของกลางบรรจุอยู่ในหลอดกาแฟชนิดปิดหัวท้าย 10 หลอด แต่ละหลอดมีความยาวประมาณ 1 นิ้วใส่ถุงพลาสติกมีกะลามะพร้าวครอบอยู่ใต้ต้นปาล์มห่างจากบ้านจำเลยประมาณ 15 เมตร เฮโรอีนของกลางหนัก 0.13 กรัม ตามรายงานการตรวจพิสูจน์เอกสารหมาย จ.3 คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยในชั้นฎีกาตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยกระทำความผิดฐานมีเฮโรอีนของกลางไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตหรือไม่ ซึ่งในปัญหาดังกล่าวตามคำเบิกความของจ่าสิบตำรวจมอง นุ่นสวัสดิ์ และสิบตำรวจโทประสิทธิ์ จิตตการ เจ้าพนักงานตำรวจสถานีตำรวจภูธรอำเภอปลายพระยา จังหวัดกระบี่ ผู้จับกุมจำเลยได้ความว่าเฮโรอีนของกลางใส่ไว้ในถุงพลาสติกมีกะลามะพร้าวครอบอยู่ และตามแผนที่สังเขปแสดงสถานที่เกิดเหตุ เอกสารหมาย จ.7 และภาพถ่ายประกอบคดีหมาย จ.8 ก็ระบุว่า จุดที่พบเฮโรอีนของกลางอยู่ใกล้กับหลักหมุดแสดงเขตแดนระหว่างที่ดินของจำเลยกับที่ดินข้างเคียงและบริเวณใต้ต้นปาล์มที่พบเฮโรอีนของกลางอยู่ระหว่างสวนกาแฟของจำเลยและสวนยางพาราในแนวเขตที่ดินของผู้อื่น เห็นว่า โจทก์ไม่มีพยานที่เห็นว่าจำเลยเป็นผู้นำเฮโรอีนของกลางไปซุกซ่อนไว้ใต้ต้นปาล์ม เฮโรอีนของกลางที่ยึดได้อยู่ห่างบ้านจำเลยถึง15 เมตร และซุกซ่อนอยู่ในถึงพลาสติกครอบด้วยกะลามะพร้าวใต้ต้นปาล์มติดแนวเขตที่ดินจำเลยซึ่งปกติย่อมยากที่เจ้าพนักงานตำรวจจะตรวจค้นพบได้ นอกจากเจ้าพนักงานตำรวจจะทราบล่วงหน้าถึงสถานที่ซุกซ่อนเฮโรอีนของกลาง แต่ก็ไม่ปรากฏเหตุเช่นว่านั้นทำให้เป็นที่สงสัย และหากเฮโรอีนของกลางเป็นของจำเลยก็น่าจะซุกซ่อนในที่ที่ปลอดภัยกว่านี้ ไม่น่าจะซุกซ่อนใกล้ชิดกับแนวเขตที่ดินของผู้อื่นโดยไม่มีรั้วกั้นเขตแดนและเป็นที่โล่งแจ้งซึ่งความปลอดภัยมีน้อย อีกทั้งสภาพที่พบเฮโรอีนของกลางอยู่ห่างบ้านจำเลยโดยมีสวนกาแฟคั่นใกล้แนวเขตที่ดินของผู้อื่นและไม่มีรั้วกั้นโอกาสที่ผู้อื่นจะนำมาซุกซ่อนย่อมเป็นไปได้ไม่ยาก ทั้งในการตรวจค้นจำเลยก็นำตรวจค้นโดยมิได้ขัดขืนแต่ประการใด จำเลยให้การปฏิเสธตลอดมาว่าเฮโรอีนของกลางมิใช่ของจำเลย ส่วนที่โจทก์นำสืบและฎีกาว่าขณะจับจำเลยหลบหนีและจับจำเลยได้ห่างบ้านจำเลย100 เมตร อันเป็นพิรุธนั้นก็เป็นเพียงคำเบิกความของจ่าสิบตำรวจมองและสิบตำรวจโทประสิทธิ์ ผู้จับกุมเท่านั้นแต่ไม่ปรากฏว่ามีการบันทึกเหตุการณ์ดังกล่าวไว้เป็นหลักฐานแต่อย่างใด ในบันทึกการตรวจสถานที่เกิดเหตุคดีอาญา แผนที่สังเขปแสดงสถานที่เกิดเหตุ เอกสารหมาย จ.6 และ จ.7 และภาพถ่ายประกอบคดีหมาย จ.8 ก็ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าจำเลยหลบหนีหรือแสดงจุดที่จับกุมจำเลยได้ จึงรับฟังว่าจำเลยหลบหนีไม่ได้พยานหลักฐานโจทก์จึงยังเป็นที่สงสัยตามสมควรว่าเฮโรอีนของกลางจำเลยเป็นผู้ที่มีไว้ในครอบครองหรือไม่ ต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้เป็นผลดีแก่จำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 227 วรรคสอง ไม่จำต้องวินิจฉัยพยานหลักฐานจำเลย ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษามานั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share