คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 87/2541

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

พยานจำคนร้ายว่าเป็นจำเลย และ ม.เพราะรู้จักมาก่อนและเห็นโดยอาศัยแสงตะเกียงที่ศีรษะไว้ส่องเวลากรีดยางซึ่ง ย่อมส่องสว่างพอให้มองได้ชัดในระยะ 3 ถึง 5 เมตร หลังเกิดเหตุ ได้ไปบ้าน ท. พ่อตาของจำเลยบอกว่าจำเลยเป็นคนร้ายคนหนึ่งทันที ท. ขอร้องไม่ให้แจ้งความ รับจะจัดการเองและจะจ่ายค่าเสียหายให้ส่วน จ. ซึ่งเป็นกำนันได้แจ้งวันเกิดเหตุจากผู้เสียหายว่าถูกคนร้ายลักทรัพย์จึงถามเรื่องคนร้าย ท. บอกว่าจำเลยเป็นคนร้ายและรับปากว่าจะเจรจาเรียกค่าเสียหายให้ผู้เสียหายยินยอม ทั้งจำเลยเข้ามอบตัว ให้การรับสารภาพ และนำเจ้าพนักงานตำรวจไปชี้ที่เกิดเหตุ ถ่ายรูปไว้ ประกอบกับจำเลยให้การในชั้นสอบสวนอย่างละเอียด เป็นเรื่องที่อยู่ในความรู้เห็นของจำเลยโดยเฉพาะยากที่ พนักงานสอบสวนจะเสกสรรปั้นแต่งขึ้นมาเองได้ พยานหลักฐานโจทก์ ฟังได้ว่าจำเลยเป็นคนร้ายร่วมปล้นทรัพย์ผู้เสียหายจริง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 340, 340 ทวิ, 340 ตรี และให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืนเป็นเงิน 20,550 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83, 340 วรรคสอง ประกอบมาตรา 340 ตรี ให้จำคุก 18 ปีจำเลยให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 คงจำคุก 12 ปี ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืน 20,550 บาท แก่ผู้เสียหาย ข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นรับฟังได้ว่า ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง มีคนร้าย 3 คนร่วมกันปล้นสร้อยคอทองคำหนักสองสลึง 1 เส้น ราคา 2,400 บาทแหวน 1 วง ราคา 150 บาท และรถจักรยานยนต์ 1 คัน ราคา 18,000 บาท รวมราคา 20,550 บาท ของนางดารินทร์ เดชอรัญ ผู้เสียหายไปโดยคนร้ายคนหนึ่งมีอาวุธปืนที่ติดตัวไปด้วยและใช้รถยนต์เป็นพาหนะหลบหนีไป มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่าจำเลยเป็นคนร้ายคนหนึ่งที่ร่วมกันปล้นทรัพย์จริงหรือไม่ โจทก์มีนายยุสบ เส็นฤทธิ์ เป็นประจักษ์พยานเบิกความว่า ขณะเกิดเหตุพยานกำลังหาลูกกุญแจรถจักรยานยนต์ได้ยินเสียงคนร้ายพูดว่า”หยุด ถ้าวิ่งยิงตาย” พยานหันไปดูเห็นจำเลยซึ่งเคยรู้จักกันมาก่อนกับคนร้ายอีกคนหนึ่งไม่รู้จักเดินเข้ามาแล้วคนร้ายที่ไม่รู้จักใช้อาวุธปืนสั้นจี้ศีรษะพยานจำเลยกับพวกได้มัดมือและใช้ผ้ามัดเท้ามัดตา และผู้เสียหายเบิกความว่าเห็นและจำคนร้ายได้คนเดียวชื่อนายโม้ง ซึ่งรู้จักมาก่อนเป็นผู้ปลดสร้อยคอทองคำและแหวนเงินจากพยานพยานทั้งสองเห็นคนร้ายจากแสงไฟตะเกียงแก๊สที่ศีรษะ ใส่กรีดยางสามารถส่องมองเห็นได้ชัดในระยะ 3 ถึง4 เมตร เห็นว่า แสงตะเกียงที่ศีรษะไว้ส่องเวลากรีดยางย่อมส่องสว่างพอสมควร เพราะมิฉะนั้นจะกรีดยางไม่เห็น ทั้งพยานทั้งสองรู้จักจำเลยและนายโม้งมาก่อน ที่พยานทั้งสองเบิกความว่าจำจำเลยและนายโม้งได้ จึงมีน้ำหนักน่าเชื่อถือ หลังจากที่พยานทั้งสองแก้มัดหลบหนีมาได้ ก็ได้ไปบ้านนายท้ามช้อยพ่อตาของจำเลยบอกว่าจำเลยเป็นคนร้ายคนหนึ่งทันที นายท้ามช้อยขอร้องไม่ให้แจ้งความรับจะจัดการเองและจะจ่ายค่าเสียหายให้แต่ไม่ทำตามสัญญา พยานทั้งสองจึงแจ้งความต่อเจ้าพนักงานตำรวจ นอกจากนี้โจทก์ยังมีนายเจริญ ชูอ่อน กำนันตำบลประเหลียน อำเภอปะเหลียน จังหวัดตรัง มาเบิกความสนับสนุนว่าวันเกิดเหตุเวลาประมาณ 8 นาฬิกา ผู้เสียหายไปแจ้งความว่าถูกคนร้ายลักทรัพย์ พยานไปที่บ้านนายท้ามช้อยที่เกิดเหตุพยานถามนายท้ามช้อยเรื่องคนร้าย นายท้ามช้อยบอกว่าจำเลยซึ่งเป็นบุตรเขยของตนเองเป็นคนร้ายและรับปากว่าจะเจรจาเรียกค่าเสียหายให้ผู้เสียหายยินยอม เมื่อจำเลยเข้ามอบตัวต่อเจ้าพนักงานตำรวจก็ให้การรับสารภาพและได้นำเจ้าพนักงานตำรวจไปชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพ พนักงานสอบสวนได้ถ่ายรูปไว้เป็นหลักฐานประกอบกับจำเลยให้การในชั้นสอบสวนอย่างละเอียด เริ่มตั้งแต่การวางแผนกระทำความผิด ตลอดจนนำสร้อยคอทองคำไปขายได้นำเงินมาแบ่งให้จำเลย 600 บาท ตามคำให้การของจำเลยเอกสารหมาย จ.5ซึ่งรายละเอียดคำให้การดังกล่าวน่าจะเป็นเรื่องที่อยู่ในความรู้เห็นของจำเลยโดยเฉพาะยากที่พนักงานสอบสวนจะเสกสรรปั้นแต่งขึ้นมาเองได้ ที่จำเลยนำสืบอ้างว่าให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและสอบสวนเพราะเจ้าพนักงานตำรวจทำร้ายนั้น คงมีตัวจำเลยเพียงผู้เดียวมาเบิกความลอย ๆ เจ้าพนักงานตำรวจผู้ใดเป็นผู้ทำร้ายจำเลย และจำเลยได้รับบาดเจ็บอย่างไรมิได้เบิกความถึง จึงเลื่อนลอย ไม่อาจรับฟังได้ ส่วนที่นายท้ามช้อยพยานโจทก์เบิกความว่า นายยุสบและผู้เสียหายไม่ได้บอกว่าใครเป็นคนร้ายนั้น เห็นว่าพยานปากนี้เป็นพ่อตาจำเลย ไม่ยอมมาเป็นพยานศาล จนศาลออกหมายจับนำตัวมาเป็นพยาน พยานย่อมเบิกความบ่ายเบี่ยงเพื่อช่วยเหลือจำเลย จึงไม่มีน้ำหนัก ศาลฎีกาเห็นว่าพยานหลักฐานโจทก์ที่นำสืบมามีน้ำหนักมั่นคงรับฟังได้ว่าจำเลยเป็นคนร้ายร่วมปล้นทรัพย์ผู้เสียหายจริง พยานหลักฐานที่อยู่ของจำเลยไม่อาจรับฟังหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายกฟ้องโจทก์ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น”
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share