คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8338/2540

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ได้ยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นว่าเหตุที่ไม่ได้ยื่นบัญชีระบุพยานภายในกำหนดเวลานั้นสาเหตุมาจากความเจ็บป่วยของทนายโจทก์คนเดิม โดยโจทก์มีแพทย์ ผู้ตรวจร่างกายทนายโจทก์คนเดิมเบิกความยืนยันโดยโจทก์ไม่จำต้องนำเอกสารประวัติคนไข้มาสืบประกอบและเมื่อศาลชั้นต้นรับฟังคำเบิกความของพยานแล้ว เห็นว่าทนายโจทก์คนเดิมป่วยจริง ความบกพร่องไม่ได้เกิดจากการจงใจหรือประมาทเลินเล่อที่ไม่ได้ยื่นบัญชีระบุพยาน และข้ออ้างของทนายโจทก์มีเหตุอันสมควรที่จะรับบัญชีระบุพยานของ โจทก์ไว้เพื่อให้การวินิจฉัยชี้ขาดในข้อสำคัญแห่งประเด็นเป็นไปด้วยความเที่ยงธรรม ดังนี้ จึงชอบที่ศาลชั้นต้นจะอนุญาต ให้โจทก์ยื่นบัญชีระบุพยานนั้นได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 183 ทวิ วรรคสองซึ่งบังคับใช้ในขณะนั้น จำเลยได้ทราบและมีส่วนเกี่ยวข้องในการที่บริษัท ม.สั่งซื้อเหล็กหล่อเพื่อนำมาใช้ในการก่อสร้างชั้นใต้ดิน ของอาคารบ. ยิ่งกว่านั้นในช่วงที่โจทก์ส่งเหล็กหล่อมาให้ตามสถานที่ก่อสร้างขึ้น จำเลยได้เข้ามารับช่วงงานก่อสร้างต่อแล้ว และวัสดุก่อสร้างทุกอย่างที่ส่งมาภายหลังจำเลยก็เป็นผู้ใช้ประโยชน์ทั้งหมด ดังนี้ เมื่อโจทก์ส่งเหล็กหล่อมาให้จำเลยและจำเลยได้รับไว้ใช้ประโยชน์ทั้งหมดโดยมิได้อิดเอื้อนหรือส่งคืนแก่โจทก์ ถือได้ว่าการรับสินค้าของจำเลยเป็นการให้สัตยาบันแก่การนั้น ย่อมผูกพันจำเลยในฐานะตัวการว่าได้มอบหมายให้บริษัทม.เป็นตัวแทนสั่งซื้อสินค้าจากโจทก์แล้ว สำหรับบันทึกข้อตกลงที่จำเลยกำหนดให้บริษัท ก.ซึ่งเป็นเจ้าของโครงการอาคาร บ.จะต้องมีหน้าที่จัดหาเหล็กก่อสร้างให้ไม่เกิน 200 ตัน มอบแก่จำเลย เป็นเรื่องระหว่างจำเลยกับ ภ. เท่านั้น หาได้มีผลผูกพันโจทก์แต่อย่างใดไม่เมื่อโจทก์ส่งเหล็กมาให้จำเลย จำเลยรับไว้แล้วนำไปใช้ในกิจการ ของจำเลยหมด จำเลยจึงมีนิติสัมพันธ์กับโจทก์โดยเข้ามาให้ สัตยาบันแก่การนั้น

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์และจำเลยเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัท จำกัดบริษัทภูมิภวัน จำกัด เป็นเจ้าของโครงการอาคารใบหยก 2 โดยมีจำเลยกับบริษัทเบญจา จำกัด เป็นผู้รับเหมาก่อสร้างอาคารเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2534 จำเลยมอบให้บริษัทมัลติเพล็กซ์อาร์.เอ็น.ซี. (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทวิศวกรรมที่ปรึกษาของจำเลยสั่งซื้อเหล็กหล่อสำหรับก่อสร้างแบบ (ซี เอ) จากโจทก์ต่อมาโจทก์ได้จัดส่งสินค้าเหล็กก่อสร้างแบบ ซี เอ ยาว 3 เมตรน้ำหนักรวม 18,385.9 กิโลกรัม ราคา 459,897.50 บาท เท่ากันทั้งสองงวดไปยังที่ก่อสร้างของจำเลยพร้อมใบวางบิลเพื่อเรียกเก็บเงินจากจำเลย จำเลยได้รับสินค้าทั้งสองงวดไว้แล้วแต่ไม่ชำระค่าสินค้าดังกล่าว โจทก์ทวงถามแล้วแต่จำเลยเพิกเฉย เป็นเหตุให้โจทก์เสียหายคิดเป็นดอกเบี้ยถึงวันฟ้อง 124,740 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 1,044,535 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีของต้นเงิน 919,795 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่เคยมีนิติสัมพันธ์ใด ๆ กับโจทก์จำเลยไม่เคยสั่งซื้อเหล็กจากโจทก์ และไม่เคยใช้หรือมอบหมายให้บริษัทใดเป็นตัวแทนหรือร่วมกันสั่งซื้อเหล็กไปจากโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
โจทก์ไม่ได้ยื่นบัญชีระบุพยานภายในกำหนดเวลาตามกฎหมายได้ยื่นคำร้องขออนุญาตยื่นบัญชีระบุพยาน จำเลยยื่นคำคัดค้าน ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งอนุญาตให้โจทก์ยื่นบัญชีระบุพยานได้
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 1,044,535 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 919,795 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการแรกว่า คำสั่งศาลชั้นต้นที่อนุญาตให้โจทก์ยื่นบัญชีระบุพยานนั้นชอบหรือไม่ จำเลยอ้างว่าเหตุผลตามคำร้องขอยื่นบัญชีระบุพยานของโจทก์โดยทนายโจทก์คนใหม่นั้น เหตุผลตามคำร้องไม่เข้าองค์ประกอบตามนัยแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 183 ทวิ วรรคสองที่ได้แก้ไขโดยมาตรา 16 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 13) พ.ศ. 2535 คือไม่มีเหตุให้เป็นที่พอใจศาลว่า เหตุที่โจทก์ไม่สามารถยื่นบัญชีระบุพยานได้ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายได้ เพราะเหตุสุดวิสัย หรือพยานหลักฐานสำคัญซึ่งเกี่ยวกับประเด็นข้อสำคัญในข้อคดีและเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมจำเป็นที่จะต้องนำพยานหลักฐานดังกล่าวมาสืบนั้นเห็นว่าโจทก์ได้ยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นว่าเหตุที่ไม่ได้ยื่นบัญชีระบุพยานภายในกำหนดเวลานั้น สาเหตุมาจากความเจ็บป่วยของทนายโจทก์คนเดิม โดยโจทก์มีนายแพทย์ผดุงเกียรติ เวชชานิยม ผู้ตรวจร่างกายทนายโจทก์คนเดิมเบิกความยืนยันว่า ทนายโจทก์คนเดิมป่วยได้เคยขอเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลสยามเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2537จากรายงานการตรวจโรคเก่าของทนายโจทก์คนเดิมป่วยเป็นโรคตับอักเสบ มีอาการของโรคตับโต ผิวหนังอักเสบและความดันโลหิตสูง ที่ศาลชั้นต้นพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ทนายโจทก์คนเดิมป่วยในช่วงเวลาที่ดำเนินคดีนี้ จากการป่วยนั้นทำให้การดำเนินคดีบกพร่องไปได้บ้างโดยมิได้จงใจการที่นายแพทย์ผดุงเกียรติเบิกความยืนยันข้อนี้หาจำต้องนำเอกสารประวัติคนไขมาสืบประกอบแต่อย่างใดไม่ เมื่อศาลชั้นต้นรับฟังพยานแล้วเห็นว่า ทนายโจทก์คนเดิมป่วยจริง ความบกพร่องไม่ได้เกิดจากการจงใจหรือประมาทเลินเล่อที่ไม่ได้ยื่นบัญชีระบุพยาน ข้ออ้างของทนายโจทก์มีเหตุอันสมควรที่จะรับบัญชีระบุพยานของโจทก์ไว้เพื่อให้การวินิจฉัยชี้ขาดในข้อสำคัญแห่งประเด็นเป็นไปด้วยความเที่ยงธรรม ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 183 ทวิ วรรคสอง ซึ่งบังคับใช้ในขณะนั้น ที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์ยื่นบัญชีระบุพยานนั้นชอบแล้ว
ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยต่อไปตามฎีกาของจำเลยประการที่สองมีว่าบริษัทมัลติเพล็กซ์ อาร์.เอ็น.ซี. (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งซื้อเหล็กหล่อจากโจทก์โดยการมอบหมายของจำเลยหรือกระทำการในฐานะตัวแทนของจำเลยหรือไม่ ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่า มีเหตุน่าเชื่อว่าจำเลยได้ทราบและมีส่วนเกี่ยวข้องในการที่บริษัทมัลติเพ็คอาร์.เอ็น.ซี. (ประเทศไทย) จำกัด สั่งซื้อเหล็กหล่อเพื่อนำมาใช้ในการก่อสร้างชั้นใต้ดินของอาคารใบหยก 2 ยิ่งกว่านั้นในช่วงที่โจทก์ส่งเหล็กหล่อมาให้ตามสถานที่ก่อสร้างนั้น จำเลยได้เข้ามารับช่วงงานก่อสร้างต่อแล้ว หากจำเลยมิได้มีส่วนเกี่ยวข้องก็ควรจะต้องปฏิเสธไม่รับเหล็กหล่อดังกล่าว แต่กลับได้ความจากนายเตมีย์ผู้จัดการทั่วไปของจำเลยเบิกความตอบทนายโจทก์ค้านว่า ใบส่งของเอกสารหมาย จ.5 และ จ.6 สินค้าได้ส่งไปเมื่อวันที่ 20 และ29 พฤษภาคม 2535 และวัสดุก่อสร้างทุกอย่างที่ส่งมาภายหลังวันที่ 15 พฤษภาคม 2535 จำเลยเป็นผู้ใช้ประโยชน์ทั้งหมดเมื่อพิจารณาประกอบบันทึกข้อตกลงเอกสารหมาย จ.15 ที่บริษัทภูมิภวัน จำกัดผู้ว่าจ้างได้กำหนดให้จำเลยต้องรับผิดชอบในหนี้สินที่โจทก์ได้นำมาฟ้องนี้ ดังนี้เมื่อโจทก์ส่งเหล็กหล่อมาให้จำเลยและจำเลยได้รับไว้ใช้ประโยชน์ทั้งหมดโดยมิได้อิดเอื้อนหรือส่งคืนแก่โจทก์ ถือได้ว่าการรับสินค้าของจำเลยเป็นการให้สัตยาบันแก่การนั้น จึงย่อมผูกพันจำเลยในฐานตัวการว่าได้มอบหมายให้บริษัทมัลติเพล็กซ์อาร์.เอ็น.ซี. (ประเทศไทย จำกัด เป็นตัวแทนสั่งซื้อสินค้าจากโจทก์แล้ว สำหรับที่จำเลยฎีกาอ้างว่าตามบันทึกข้อตกลงเอกสารหมาย จ.15กำหนดให้บริษัทภูมิภวัน จำกัด ซึ่งเป็นเจ้าของโครงการอาคารใบหยก 2 จะต้องมีหน้าที่จัดหาเหล็กก่อสร้างให้ไม่เกิน200 ตัน มอบแก่จำเลย จำเลยหาได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับโจทก์แต่อย่างใดนั้น เห็นว่า การตกลงดังกล่าวเป็นเรื่องระหว่างจำเลยกับบริษัทภูมิภวัน จำกัด เท่านั้น เมื่อโจทก์ส่งเหล็กมาให้จำเลย จำเลยรับไว้แล้วนำไปใช้ในกิจการของจำเลยหมด จำเลยจึงมีนิติสัมพันธ์กับโจทก์โดยเข้ามาให้สัตยาบันแก่การนั้นดังที่ได้วินิจฉัยมาข้างต้น
พิพากษายืน

Share