คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7599/2540

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 22(1) มิได้บัญญัติบังคับให้ศาลชั้นต้น ซึ่งเป็นศาลท้องที่ที่จำเลยที่มีอยู่ในเขตอำนาจต้องรับชำระคดีที่โจทก์ฟ้องจำเลยกฎหมายดังกล่าวเพียงแต่บัญญัติให้เป็นดุลพินิจของศาลชั้นต้นที่จะรับชำระคดีหรือไม่ก็ได้ แม้เรือนจำกลางจังหวัดลำปางจะเป็นภูมิลำเนาของจำเลยในขณะที่โจทก์ฟ้องคดีนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 47 เพราะจำเลยถูกจำคุกตามคำพิพากษาถึงที่สุดของศาลชั้นต้นแล้วก็ตาม เมื่อความผิดคดีนี้เกิดขึ้นในเขตอำนาจของศาลจังหวัดเชียงใหม่และอยู่ในวิสัยที่โจทก์จะฟ้องจำเลยต่อศาลจังหวัดเชียงใหม่ได้ ทั้งไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่า หากมีการชำระคดีที่ศาลจังหวัดลำปางจะมีความสะดวกมากกว่าการชำระคดีที่ศาลจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นศาลท้องที่ความผิดเกิดขึ้นอย่างไร จึงไม่สมควรให้ศาลจังหวัดลำปางรับชำระคดีที่โจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า ขณะยื่นคำฟ้อง จำเลยทั้งห้ามีที่อยู่ที่เรือนจำกลางจังหวัดลำปาง โดยจำเลยที่ 1 ถูกจำคุกในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1588/2537 และ 1292/2538 ของศาลชั้นต้นกับเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยที่ 1 ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 337/2539 ของศาลชั้นต้น จำเลยที่ 2 ถูกจำคุกในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 130/2538 และ 1292/2538 ของศาลชั้นต้นกับเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยที่ 2 ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 337/2539ของศาลชั้นต้น จำเลยที่ 3 ถูกจำคุกในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 306/2538 ของศาลชั้นต้น ส่วนจำเลยที่ 4 และที่ 5 ถูกขังอยู่ในระหว่างการพิจารณาคดีอาญาหมายเลขดำที่ 361/2538 ของศาลชั้นต้นขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 337ริบบันทึกการตกลงชดใช้ค่าเสียหายของกลาง และนับโทษจำเลยที่ 1ต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1588/2537 และ 1292/2538กับคดีอาญาหมายเลขดำที่ 337/2539 ของศาลชั้นต้น นับโทษจำเลยที่ 2 ต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 130/2538 และ 1292/2538กับคดีอาญาหมายเลขดำที่ 337/2539 ของศาลชั้นต้น นับโทษจำเลยที่ 3 ต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 306/2538 ของศาลชั้นต้นและนับโทษจำเลยที่ 4 กับที่ 5 ต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 361/2538 ของศาลชั้นต้น
ศาลชั้นต้น (ศาลจังหวัดลำปาง) ตรวจคำฟ้องแล้ว มีคำสั่งว่าความผิดเกิดจากที่จังหวัดเชียงใหม่ที่อยู่นอกเขตอำนาจศาลชั้นต้นจึงคืนคำฟ้องให้แก่โจทก์และจำหน่ายคดีจากสารบบความ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังยุติได้ว่า ขณะที่โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งห้าต่อศาลชั้นต้น (ศาลจังหวัดลำปาง)จำเลยทั้งห้าต้องโทษจำคุกอยู่ที่เรือนจำกลางจังหวัดลำปาง
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า โจทก์ชอบที่จะฟ้องจำเลยทั้งห้าต่อศาลชั้นต้น (ศาลจังหวัดลำปาง) ซึ่งเป็นศาลท้องที่ที่จำเลยทั้งห้ามีอยู่ในเขตอำนาจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 22(1) ได้หรือไม่เห็นว่า แม้เรือนจำกลางจังหวัดลำปางจะเป็นภูมิลำเนาของจำเลยทั้งห้าในขณะที่โจทก์ฟ้องคดีนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 47 เพราะจำเลยทั้งห้าถูกจำคุกตามคำพิพากษาถึงที่สุดของศาลชั้นต้นแล้วก็ตาม แต่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 22(1) มิได้บัญญัติบังคับให้ศาลชั้นต้นซึ่งเป็นศาลท้องที่ที่จำเลยทั้งห้ามีที่อยู่ในเขตอำนาจต้องรับชำระคดีที่โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งห้าเป็นคดีนี้กฎหมายดังกล่าวเพียงแต่บัญญัติให้เป็นดุลพินิจของศาลชั้นต้นที่จะรับชำระคดีหรือไม่ก็ได้ เมื่อความผิดคดีนี้เกิดขึ้นในเขตอำนาจของศาลจังหวัดเชียงใหม่และอยู่ในวิสัยที่โจทก์จะฟ้องจำเลยทั้งห้าต่อศาลจังหวัดเชียงใหม่ได้ ทั้งไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่า หากมีการชำระคดีที่ศาลจังหวัดลำปางจะมีความสะดวกมากกว่าการชำระคดีที่ศาลจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นศาลท้องที่ความผิดเกิดขึ้นอย่างไร จึงไม่สมควรให้ศาลชั้นต้นรับชำระคดีที่โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งห้าเป็นคดีนี้
พิพากษายืน

Share