คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7223/2540

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ฟ้องโจทก์ตั้งรูปคดีมาว่า จำเลยกับพวกร่วมกันขับรถยนต์บรรทุกสินค้าหลบหนีภาษีศุลกากรแล้วชนรถยนต์ของโจทก์เสียหาย แต่โจทก์ไม่มีพยานมานำสืบให้เห็นว่าจำเลยร่วมกับ ด. ขับรถยนต์ชนรถยนต์ของโจทก์อันเป็นการทำละเมิดโจทก์ คงได้ความแต่เพียงว่า ด. เป็นผู้ขับรถยนต์กระบะเฉี่ยวชนรถยนต์ของโจทก์เสียหายโดยจำเลยเป็นเพียงบุคคลภายนอกที่นั่งมาในรถยนต์กระบะที่ ด.เป็นผู้ขับเท่านั้น โดยไม่ปรากฏว่าจำเลยมีส่วนทำความผิดอย่างใดอย่างหนึ่งก่อให้เกิดความเสียหายแก่รถยนต์ของโจทก์ด้วย ทั้งไม่มีพฤติการณ์ใดส่อแสดงให้เห็นว่าจำเลยได้รู้เห็นในการทำละเมิดของ ด.หรือยุยงช่วยเหลือด.กระทำละเมิดโจทก์ แม้ ด. จะมีส่วนทำละเมิดขับรถชนรถยนต์ของโจทก์เสียหายเพียงเท่านี้ก็ยังไม่พอถือว่าจำเลยร่วมทำละเมิดอันจะต้องรับผิดต่อโจทก์ด้วย คำพิพากษาคดีส่วนอาญาที่จำเลยคดีนี้ถูกฟ้องจนศาลพิพากษาลงโทษไปเด็ดขาดแล้วนั้น ปรากฏเพียงคดีอาญานั้นจำเลยถูกฟ้องหาว่าร่วมกับ ด. ต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติหน้าที่และทำร้ายผู้อื่นตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 138,391,83 เท่านั้น ไม่มีมีประเด็นโดยตรงเกี่ยวกับความเสียหายรถยนต์ของโจทก์ข้อเท็จจริงในคดีอาญาดังกล่าวจึงเป็นคนละประเด็นกับคดีนี้และไม่มีผลผูกพันจำเลยในคดีนี้ ดังนี้ คดีจึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยทำละเมิดต่อโจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกับพวกร่วมกันขับรถยนต์บรรทุกสินค้าหลบหนีภาษีศุลกากรหลายรายการหลบหนีเจ้าหน้าที่ของโจทก์ เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุเจ้าหน้าที่ของโจทก์อีกชุดหนึ่งได้ตั้งด่านสกัดจับจำเลยกับพวกโดยนำรถยนต์ของโจทก์จอดให้สัญญาณจำเลยกับพวกที่จะผ่านมาให้หยุดเพื่อตรวจค้น อันเป็นการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย แต่จำเลยกับพวกกลับร่วมกันขับรถยนต์คันดังกล่าวพุ่งเข้าชนรถยนต์ของโจทก์ได้รับความเสียหายหลายรายการคิดเป็นเงิน 20,000 บาท ขอให้บังคับจำเลยใช้เงินและดอกเบี้ยรวมเป็นเงิน 23,275 บาท และดอกเบี้ยต่อไปอีกในอัตราร้อยละ7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า ในวันเกิดเหตุนายดำรงค์หรือไข่ ธรรมเสนเป็นผู้ขับรถยนต์บรรทุกสินค้าหลบหนีภาษีศุลากรแล่นเข้าชนรถยนต์ของโจทก์ตามฟ้องจำเลยเป็นเพียงผู้นั่งร่วมมาในรถยนต์กับนายดำรงค์หรือไข่เท่านั้น จำเลยจึงไม่ได้ทำละเมิดหรือร่วมทำละเมิดต่อโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงได้
ศาลชั้นต้นภาค 3 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องต้นตามที่คู่ความนำสืบไม่โต้แย้งกันว่า ขณะที่เจ้าหน้าที่ของโจทก์นำรถยนต์ของโจทก์ออกปฏิบัติหน้าที่ตั้งด่านเพื่อตรวจจับรถขนสินค้าหลบหนีภาษีศุลกากร มีนายดำรงค์หรือไข่ขับรถยนต์กระบะบรรทุกสินค้าหลบหนีภาษีศุลกากรโดยมีจำเลยนั่งมาในรถด้วยความเร็วและไม่ยอมหยุดให้ตรวจเมื่อเจ้าหน้าที่ของโจทก์ให้สัญญาณหยุดเป็นเหตุให้เฉี่ยวชนรถยนต์ของโจทก์ได้รับความเสียหายเจ้าหน้าที่ของโจทก์จับจำเลยได้ ส่วนนายดำรงค์หลบหนีไป ต่อมาจำเลยถูกฟ้องเป็นคดีอาญาข้อหาความผิดต่อเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 138 วรรคสอง, 391, 83 ศาลพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 357/2535 ของศาลชั้นต้น
มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ว่า จำเลยร่วมทำละเมิดต่อโจทก์หรือไม่ คดีนี้ฟ้องโจทก์ตั้งรูปคดีมาว่า จำเลยกับพวกร่วมกับขับรถยนต์บรรทุกสินค้าหลบหนีภาษีศุลกากรแล้วชนรถยนต์ของโจทก์เสียหาย โจทก์ไม่มีพยานมานำสืบให้เห็นว่าจำเลยร่วมกับนายดำรงค์ขับรถยนต์ชนรถยนต์ของโจทก์อันเป็นการทำละเมิดโจทก์พยานโจทก์เท่าที่นำสืบมาได้ความแน่ชัดแต่เพียงว่านายดำรงค์เป็นผู้ขับรถยนต์กระบะเฉี่ยวชนรถยนต์ของโจทก์เสียหายจำเลยเป็นเพียงบุคคลภายนอกที่นั่งมาในรถยนต์กระบะที่นายดำรงศ์เป็นผู้ขับเท่านั้น โดยไม่ปรากฏว่าจำเลยมีส่วนทำความผิดอย่างใดอย่างหนึ่งก่อให้เกิดความเสียหายแก่รถยนต์ของโจทก์ด้วยทั้งไม่มีพฤติการณ์ใดส่อแสดงให้เห็นว่าจำเลยได้รู้เห็นในการทำละเมิดของนายดำรงค์หรือยุยงช่วยเหลือนายดำรงค์กระทำละเมิดของโจทก์ แม้นายดำรงค์จะมีส่วนทำละเมิดขับรถชนรถยนต์ของโจทก์เสียหายเพียงเท่านี้ก็ยังไม่พอถือว่าจำเลยร่วมทำละเมิดอันจะต้องรับผิดต่อโจทก์ด้วย ที่โจทก์อ้างว่าจำเลยถูกฟ้องในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 357/2535 ของศาลชั้นต้น จนศาลพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยแล้ว ข้อเท็จจริงในคดีอาญาดังกล่าวย่อมผูกพันจำเลยให้ฟังได้ว่าจำเลยทำละเมิดโจทก์ เห็นว่า คำพิพากษาคดีส่วนอาญาที่จำเลยคดีนี้ถูกฟ้องจนศาลพิพากษาลงโทษไปเด็ดขาดแล้วนั้น ก็ปรากฏเพียงว่าคดีอาญานั้นจำเลยถูกฟ้องหาว่าร่วมกับนายดำรงค์หรือไข่ต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติหน้าที่และทำร้ายผู้อื่นเท่านั้น ไม่ได้มีประเด็นโดยตรงเกี่ยวกับความเสียหายรถยนต์ของโจทก์ ข้อเท็จจริงในคดีอาญาดังกล่าวจึงเป็นคนละประเด็นกับคดีนี้และไม่มีผลผูกพันจำเลยในคดีนี้คดีฟังไม่ได้ว่าจำเลยทำละเมิดต่อโจทก์
พิพากษายืน

Share