คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6367/2540

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ในคดีอาญา ศาลชั้นต้นวินิจฉัยข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐานที่โจทก์และโจทก์ร่วมนำสืบในคดีดังกล่าวเกี่ยวกับจำนวนทรัพย์ที่จำเลยที่ 1 รับซื้อไว้ว่าจำเลยที่ 1ซื้อจักรเย็บผ้ายี่ห้อจุกิจำนวน8หลังและจักรโพ้งยี่ห้อซีรูบ้า จำนวน 4 หลัง รวมเป็นจักร 12 หลัง แล้วจึงวินิจฉัยว่าจำเลยที่ 1 ไม่มีเจตนาในการกระทำความผิดทางอาญาคดีถึงที่สุด ถือได้ว่าข้อเท็จจริงที่ว่าจำเลยที่ 1รับซื้อจักรเย็บผ้าของโจทก์ไว้จำนวน 12 หลัง จริงหรือไม่เป็นประเด็นโดยตรงในคดีอาญา เมื่อโจทก์ซึ่งเป็นโจทก์ร่วมในคดีอาญาดังกล่าวฟ้องจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2ซึ่งเป็นสามีจำเลยที่ 1 เป็นคดีแพ่งว่า ร่วมกันรับซื้อจักรเย็บผ้าในจำนวนเดียวกับที่เคยฟ้องจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นคู่ความเดียวกันในคดีอาญาเป็นคดีนี้อีกและมีประเด็นโต้เถียงอย่างเดียวกันว่าจำเลยที่ 1 กับพวกร่วมกันรับซื้อจักรเย็บผ้าของโจทก์ไว้จำนวนกี่หลัง ศาลจึงถือตามข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยมาแล้วในคดีอาญาดังกล่าว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันรับซื้อจักรเย็บผ้าและเครื่องตัดผ้าของโจทก์ที่ถูกลูกจ้างลักไปเป็นจำนวนเงินรวม385,000 บาท โดยไม่สุจริต ต่อมาพนักงานสอบสวนยึดจักรเย็บผ้าจากจำเลยได้ 2 หลัง ราคา 50,000 บาท แล้วนำมาคืนให้โจทก์ ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองคืนจักรเย็บผ้าอุตสาหกรรมยี่ห้อจูกิ 12 หลัง จักรโพ้งอุตสาหกรรมยี่ห้อซีรูบ้า 4 หลัง เครื่องตัดผ้าอุตสาหกรรม 2 เครื่องแก่โจทก์ หากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคาเป็นเงิน 335,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยทั้งสองให้การต่อสู้คดีหลายประการ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนจักรเย็บผ้าอุตสาหกรรมยี่ห้อจูกิ จำนวน 12 หลัง จักรโพ้งอุตสาหกรรมยี่ห้อซีรูบ้า จำนวน 4 หลัง และเครื่องตัดผ้าอุตสาหกรรม จำนวน 2 เครื่องแก่โจทก์ หากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคา 335,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2537 จนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนจักรเย็บผ้าจำนวน 10 หลัง ที่ยังไม่ได้คืนแก่โจทก์ หากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคาเป็นเงิน 162,000 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาข้อกฎหมายที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า ศาลอุทธรณ์รับฟังข้อเท็จจริงเกี่ยวกับจำนวนทรัพย์ของโจทก์ที่ถูกประทุษร้ายตามที่ปรากฏในคดีอาญาดังกล่าวโดยมิได้วินิจฉัยพยานหลักฐานในคดีส่วนแพ่งชอบหรือไม่ ในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าว ศาลฎีกาจำต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยจากพยานหลักฐานในสำนวน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 238 ประกอบมาตรา 247 ซึ่งศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 1 ถูกพนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องเป็นคดีอาญาโดยมีโจทก์เข้าเป็นโจทก์ร่วมว่าจำเลยที่ 1 ร่วมกับพวกอีกหลายคนลักทรัพย์หรือรับของโจรจักรเย็บผ้ายี่ห้อจูกิ จำนวน 12 หลัง รวมราคา 168,000 บาท จักรโพ้งยี่ห้อซีรูบ้า จำนวน 6 หลัง ราคา 150,000 บาท เครื่องตัดผ้า ขนาด 10 นิ้ว 1 เครื่อง ราคา 37,000 บาทเครื่องตัดผ้าขนาด 8 นิ้ว 1 เครื่อง ราคา 30,000 บาท รวมราคาทรัพย์ทั้งสิ้น 385,000 บาท ของโจทก์ไป ขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1 และให้จำเลยที่ 1 คืนหรือใช้ราคาทรัพย์จำนวน 360,000 บาท แก่โจทก์ จำเลยที่ 1ต่อสู้ว่า ซื้อจักรจำนวน 12 หลัง จากนางหมิงและนายกัง ซึ่งจำเลยที่ 1 เข้าใจว่าเป็นเจ้าของโดยเปิดเผย ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ 1 ซื้อจักรเย็บผ้ายี่ห้อจูกิ จำนวน 8 หลัง และจักรโพ้งยี่ห้อซีรูบ้าจำนวน 4 หลัง จากนายหมิงและนายกัง ซึ่งเป็นคนงานของโจทก์ร่วมโดยพฤติการณ์ที่ทำให้จำเลยที่ 1 เข้าใจว่านายหมิงและนายกังเป็นเจ้าของทรัพย์ดังกล่าว การกระทำของจำเลยที่ 1จึงไม่มีเจตนาทุจริตไม่เป็นความผิดฐานลักทรัพย์หรือรับของโจรพิพากษายกฟ้อง คดีถึงที่สุดแล้วตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 4052/2536 ของศาลชั้นต้น เห็นว่า แม้ในคดีอาญาศาลชั้นต้นเพียงแต่วินิจฉัยว่าจำเลยที่ 1 ไม่มีเจตนาทุจริตจึงไม่มีความผิดตามฟ้องก็ตาม แต่ศาลชั้นต้นก็ได้วินิจฉัยข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐานที่โจทก์และโจทก์ร่วมนำสืบในคดีดังกล่าวเกี่ยวกับจำนวนทรัพย์ที่จำเลยที่ 1 รับซื้อไว้ว่าจำเลยที่ 1 ซื้อจักรเย็บผ้ายี่ห้อจูกิจำนวน 8 หลัง และจักรโพ้งยี่ห้อซีรูบ้า จำนวน 4 หลัง รวมเป็นจักร 12 หลัง จริงก่อนแล้วจึงอาศัยข้อเท็จจริงดังกล่าวมาเป็นข้อวินิจฉัยถึงเจตนาของจำเลยที่ 1ในการกระทำความผิดทางอาญาถือได้ว่าข้อเท็จจริงที่ว่าจำเลยที่ 1รับซื้อจักรเย็บผ้าของโจทก์ไว้จำนวน 12 หลัง จริงหรือไม่เป็นประเด็นโดยตรงในคดีอาญา เมื่อโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นสามีจำเลยที่ 1 ว่า ร่วมกันรับซื้อจักรเย็บผ้าในจำนวนเดียวกับที่เคยฟ้องจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นคู่ความเดียวกันในคดีอาญาเป็นคดีนี้อีกและมีประเด็นโต้เถียงอย่างเดียวกันว่าจำเลยที่ 1 กับพวกร่วมกันรับซื้อจักรเย็บผ้าของโจทก์ไว้จำนวนกี่หลัง ศาลจึงต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยมาแล้วในคดีอาญาดังกล่าว ฉะนั้นที่ศาลอุทธรณ์รับฟังข้อเท็จจริงเกี่ยวกับจำนวนทรัพย์ของโจทก์ที่ถูกประทุษร้ายตามที่ปรากฏในคดีส่วนอาญาว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันซื้อเพียงจักรเย็บผ้าจำนวน 8 หลัง และจักรโพ้งจำนวน 4 หลัง ของโจทก์จากนายหมิงและนายกังจึงชอบแล้ว หาจำต้องวินิจฉัยพยานหลักฐานจากคดีส่วนแพ่งอีกดังที่โจทก์ฎีกาไม่
พิพากษายืน

Share