คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5908/2540

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ทำสัญญาซื้อกล้องเล็งแบบเอ็ม53เอ 1 พร้อมอุปกรณ์ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ของบริษัท ย. ประเทศอังกฤษ จากจำเลย กำหนดเวลาส่งมอบสิ่งของภายในวันที่ 17 มิถุนายน 2535แต่การส่งออกจากประเทศอังกฤษ บริษัทผู้ผลิตต้องได้รับอนุญาตจากรัฐบาลอังกฤษก่อน หลังจากทำสัญญา จำเลยได้สั่งซื้อ สิ่งของดังกล่าวจากบริษัทผู้ผลิตและบริษัทผู้ผลิตยื่นคำร้องขออนุญาตส่งออกต่อรัฐบาลอังกฤษ ต่อมาเมื่อเดือนพฤษภาคม 2535ได้เกิดเหตุการณ์ไม่สงบขึ้นในประเทศไทย รัฐบาลอังกฤษจึงยัง ไม่อนุญาตให้ส่งสิ่งของดังกล่าวมายังประเทศไทยในช่วงนั้น เมื่อจำเลยสอบถามไปยังบริษัทผู้ผลิต ในวันที่ 3 มิถุนายน 2535 บริษัทผู้ผลิตแจ้งว่ายังไม่ได้รับอนุญาตให้ส่งออกทั้งที่ได้ พยายามติดตามเรื่องตลอดมา จำเลยจึงมีหนังสือแจ้งโจทก์ทราบ หลังจากนั้นจำเลยมีหนังสือแจ้งโจทก์อีกว่าได้เร่งรัด บริษัทผู้ผลิตแล้วและจะเร่งรัดให้ส่งของมาโดยด่วนต่อไป และเมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2535 จำเลยมีหนังสือแจ้งโจทก์ อีกครั้งว่า ยังคงเร่งรัดบริษัทผู้ผลิตอย่างต่อเนื่อง ดังนี้ แม้ตามสัญญาซื้อขายฉบับพิพาทจะมิได้กำหนดเงื่อนไขไว้ใน สัญญาว่า การส่งสิ่งของตามสัญญาต้องได้รับอนุมัติจาก รัฐบาลอังกฤษก่อน แต่ตามสภาพของสิ่งของตามสัญญาซึ่งเป็น อุปกรณ์ทางทหารต้องเป็นผลิตภัณฑ์ที่สั่งจากบริษัทใน ประเทศอังกฤษ และต้องได้รับอนุมัติจากรัฐบาลอังกฤษจึงจะสามารถส่งสิ่งของมายังประเทศไทยได้การขออนุญาตส่งออก บริษัทผู้ผลิตเป็นผู้ขอใบอนุญาตส่งออก จำเลยผู้ขายได้เร่งรัด ให้รีบส่งสิ่งของมาให้ทันตามกำหนดในสัญญาแล้ว แต่เนื่องจาก เกิดเหตุการณ์ไม่สงบในประเทศไทย รัฐบาลอังกฤษจึงยังไม่อนุญาต ให้ส่งสิ่งของมายังประเทศไทยในช่วงนั้น ทำให้การออกใบอนุญาตส่งออกต้องล่าช้าออกไปกว่าปกติถึง 5 สัปดาห์หรือ 35 วันจึงมีการอนุญาต พฤติการณ์ที่จำเลยไม่สามารถส่งมอบสิ่งของให้โจทก์ได้จนถึงวันที่โจทก์ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญา หลังครบกำหนดส่งมอบตามสัญญาเพียง 22 วัน ถือได้ว่าเป็นพฤติการณ์ซึ่งลูกหนี้ไม่ต้องรับผิดชอบตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 205 และจำเลยได้แจ้งเหตุพร้อมหลักฐานเป็นหนังสือให้โจทก์ทราบแล้ว โดยแจ้งว่าจะ ส่งสิ่งของให้ทันทีเมื่อได้รับอนุมัติจากรัฐบาลอังกฤษ กรณี จึงถือได้ว่าเป็นการขอขยายเวลาการส่งมอบออกไป ซึ่งนับว่า ได้ปฏิบัติครบถ้วนตามสัญญาแล้วจำเลยจึงมิใช่เป็นผู้ผิดนัด โจทก์ย่อมไม่มีสิทธิเลิกสัญญาซื้อขายที่พิพาท

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน899,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันผิดนัดคือวันที่ 9 สิงหาคม 2535 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ดอกเบี้ยคิดถึงวันฟ้องเป็นเงิน 83,496.16 บาท กับให้จำเลยที่ 1ชำระเงินจำนวน 395,560 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันผิดนัดคือวันที่ 9 สิงหาคม 2535 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ดอกเบี้ยถึงวันฟ้องเป็นเงิน 36,738.31 บาท
จำเลยที่ 1 ให้การว่า การที่จำเลยที่ 1 ส่งสิ่งของที่ซื้อขายตามสัญญาให้แก่โจทก์ไม่ได้ตามกำหนดเนื่องจากเกิดเหตุการณ์ไม่สงบขึ้นในประเทศไทยเมื่อเดือนพฤษภาคม 2535 รัฐบาลอังกฤษจึงไม่ออกใบอนุญาตให้ส่งสิ่งของอันเป็นพฤติการณ์ที่มิได้เกิดจากความผิดของจำเลยที่ 1 โจทก์ไม่มีสิทธิบอกเลิกสัญญาและไม่มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยจากเงินค่าปรับและเงินประกันสัญญาเพราะจำเลยที่ 1 มิได้ผิดสัญญา ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 1 ให้การว่า การที่จำเลยที่ 1 ส่งสิ่งของที่ซื้อขายตามสัญญาให้แก่โจทก์นั้นเกิดขึ้นเพราะเหตุสุดวิสัยอีกทั้งโจทก์ก็เคยผ่อนผันให้จำเลยที่ 1 ขยายเวลาการส่งมอบสิ่งของและโจทก์ไม่เคยบอกกล่าวให้จำเลยที่ 2 ชำระหนี้ตามสัญญาค้ำประกันจำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า เมื่อวันที่22 ตุลาคม 2534 โจทก์ทำสัญญาซื้อกล้องเล็งแบบเอ็ม 53 เอ 1พร้อมอุปกรณ์ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ของบริษัทยูไนเต็ด ไซเอ็นทิฟิค อินสทรูเม็นท์จำกัด ประเทศอังกฤษจากจำเลยที่ 1 กำหนดเวลาส่งมอบสิ่งของภายในวันที่ 17 มิถุนายน2535 ตามสัญญาซื้อขายเอกสารหมาย จ.4 มีจำเลยที่ 2 ทำสัญญาค้ำประกันหนี้ของจำเลยที่ 1 ตามสัญญาดังกล่าว ตามสัญญาค้ำประกันเอกสารหมาย จ.12 สิ่งของที่ทำสัญญาซื้อขายดังกล่าวใช้สำหรับประกอบกับอาวุธปืนใหญ่และปืน ค. ดังนั้น การส่งออกจากประเทศอังกฤษ บริษัทผู้ผลิตต้องได้รับอนุญาตจากรัฐบาลอังกฤษก่อน หลังจากทำสัญญาจำเลยที่ 1 ได้สั่งซื้อสิ่งของดังกล่าวจากบริษัทผู้ผลิตและบริษัทผู้ผลิตยื่นคำร้องขออนุญาตส่งออกต่อรัฐบาลอังกฤษ ต่อมาเมื่อเดือนพฤษภาคม 2535 ได้เกิดเหตุการณ์ไม่สงบขึ้นในประเทศไทย รัฐบาลอังกฤษจึงยังไม่อนุญาตให้ส่งสิ่งของดังกล่าวมายังประเทศไทยในช่วงนั้น เมื่อจำเลยที่ 1 สอบถามไปยังบริษัทผู้ผลิต ในวันที่ 3 มิถุนายน 2535 บริษัทผู้ผลิตมีโทรสารถึงจำเลยที่ 1 กล่าวขออภัยที่ตอบล่าช้าพร้อมกับแจ้งว่ายังไม่ได้รับอนุญาตให้ส่งออกทั้งที่ได้พยายามติดตามเรื่องตลอดมาในวันที่ 4 มิถุนายน 2535 จำเลยที่ 1 จึงมีหนังสือแจ้งโจทก์ว่าบริษัทผู้ผลิตได้แจ้งมาว่ากำลังรอใบอนุญาตส่งออกอยู่ ได้รับอนุญาตแล้วจะจัดส่งมาให้ต่อไปพร้อมกับแนบโทรสารของบริษัทผู้ผลิตไปกับหนังสือดังกล่าว ตามเอกสารหมาย ล.3 ต่อมาเมื่อวันที่1 กรกฎาคม 2535 จำเลยที่ 1 มีหนังสือแจ้งโจทก์อีกว่าได้เร่งรัดบริษัทผู้ผลิตแล้วและจะเร่งรัดให้ส่งของมาโดยด่วนต่อไป ตามเอกสารหมาย จ.4 และเมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2535 จำเลยที่ 1มีหนังสือแจ้งโจทก์อีกครั้งว่า ยังคงเร่งรัดบริษัทผู้ผลิตอย่างต่อเนื่องตามเอกสารหมาย จ.5 ในวันเดียวกันโจทก์มีหนังสือบอกเลิกสัญญาไปยังจำเลยที่ 1 และเมื่อวันที่ 7 กันยายน 2535สถานเอกอัครราชทูตอังกฤษประจำกรุงเทพมหานครได้ออกหนังสือยืนยันว่า ในเหตุการณ์ปกติรัฐบาลอังกฤษสามารถออกใบอนุญาตส่งออกสิ่งของที่ซื้อขายกันตามสัญญานี้ภายใน 10 สัปดาห์ นับแต่ได้รับคำร้องแต่เนื่องจากเกิดเหตุการณ์ที่ไม่อาจคาดคิดได้ ทำให้การส่งออกมายังประเทศไทยต้องล่าช้าออกไปจนถึงวันที่ 23 มิถุนายน 2535เป็นเวลา 15 สัปดาห์ นับแต่วันได้รับคำร้อง ตามหนังสือของสถานเอกอัครราชทูตอังกฤษแนบท้ายเอกสารหมาย ล.12
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า ตามสัญญาพิพาทมิได้กำหนดเงื่อนไขไว้ว่า การส่งสิ่งของต้องได้รับอนุมัติจากรัฐบาลอังกฤษก่อน จำเลยที่ 1 ในฐานะผู้ขายมีหน้าที่ต้องดำเนินการให้ได้สิ่งของมาส่งมอบให้โจทก์ภายในกำหนดเวลาตามสัญญา และจำเลยที่ 1 ทราบดีว่าการส่งมอบสิ่งของต้องผ่านการอนุมัติจากรัฐบาลอังกฤษก่อน การได้รับอนุมัติหรือไม่ จึงมิใช่พฤติการณ์อันไม่อาจคาดหมายล่วงหน้าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 205 เมื่อจำเลยที่ 1 ไม่สามารถส่งสิ่งของตามสัญญาได้ภายในกำหนดเวลา จำเลยที่ 1 จึงตกเป็นผู้ผิดสัญญา จำเลยที่ 2ในฐานะผู้ค้ำประกันต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ต่อโจทก์ด้วยและตามสัญญาข้อ 4 มีข้อความชัดเจนระบุถึงกรณีเหตุสุดวิสัยหรือพฤติการณ์อันใดอันหนึ่งซึ่งผู้ขายไม่ต้องรับผิดชอบตามกฎหมายผู้ขายต้องแจ้งเหตุหรือพฤติการณ์ดังกล่าวพร้อมหลักฐานเป็นหนังสือให้ผู้ซื้อทราบเพื่อขอขยายเวลาการส่งมอบออกไป ถ้าผู้ขายไม่ปฏิบัติให้ถือว่าผู้ขายสละสิทธิเรียกร้องในการขยายเวลาการส่งสิ่งของออกไปโดยไม่มีเงื่อนไข ดังนั้น เมื่อจำเลยที่ 1 ไม่ปฏิบัติและเอกสารหมาย ล.3, ล.4 และ ล.5 ไม่มีข้อความใดที่จะแสดงให้ทราบว่า ขอขยายเวลาส่งของโดยไม่มีเงื่อนไข จำเลยที่ 1จึงตกเป็นผู้ผิดสัญญา โจทก์มีคำขอบอกเลิกสัญญาได้เห็นว่าแม้ตามสัญญาซื้อขายเอกสารหมาย จ.4 จะมิได้กำหนดเงื่อนไขไว้ในสัญญาว่า การส่งสิ่งของตามสัญญาต้องได้รับอนุมัติจากรัฐบาลอังกฤษก่อน แต่ตามสภาพของสิ่งของตามสัญญาข้อ 1 เอกสารหมาย จ.4 เป็นอุปกรณ์ทางทหารซึ่งต้องเป็นผลิตภัณฑ์ที่สั่งจากบริษัทในประเทศอังกฤษ และต้องได้รับอนุมัติจากรัฐบาลอังกฤษจึงจะสามารถส่งสิ่งของมายังประเทศไทยได้ การขออนุญาตส่งออกบริษัทผู้ผลิตเป็นผู้ขอใบอนุญาตส่งออก จำเลยที่ 1 ได้เร่งรัดให้รีบส่งสิ่งของมาให้ทันตามกำหนดในสัญญาแล้ว แต่เนื่องจากเกิดเหตุการณ์ไม่สงบในประเทศไทย รัฐบาลอังกฤษจึงยังไม่อนุญาตให้ส่งสิ่งของมายังประเทศไทยในช่วงนั้น ทำให้การออกใบอนุญาตส่งออกต้องล่าช้าออกไปกว่าปกติถึง 5 สัปดาห์ หรือ 35 วันโดยเพิ่งมีการอนุญาตเมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2535 พฤติการณ์ที่จำเลยที่ 1 ยังไม่สามารถส่งมอบสิ่งของให้โจทก์ได้จนถึงวันที่โจทก์ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาคือวันที่ 9 กรกฎาคม 2535 หลังครบกำหนดส่งมอบเพียง 22 วัน ถือได้ว่าเป็นพฤติการณ์ซึ่งลูกหนี้ไม่ต้องรับผิดชอบตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 205 และจำเลยที่ 1 ได้แจ้งเหตุพร้อมหลักฐานเป็นหนังสือให้โจทก์ทราบตามเอกสารหมาย ล.3, ล.4 ล.5 และ ล.12 แล้ว โดยแจ้งว่าจะส่งสิ่งของให้ทันทีเมื่อได้รับอนุมัติจากรัฐบาลอังกฤษอันถือได้ว่าเป็นการขอขยายเวลาการส่งมอบออกไปนับว่าได้ปฏิบัติครบถ้วนตามสัญญาข้อ 4 แล้ว จำเลยที่ 1 จึงมิใช่เป็นผู้ผิดนัด
พิพากษายืน

Share