แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่จำเลยทำสัญญากู้เงินเอกสารหมาย จ.1 ไว้ให้โจทก์ด้วยความสมัครใจ และจำเลยได้รับเงินกู้จำนวน 145,000 บาทไปจากโจทก์แล้วส่วนต้นเงินจำนองจำนวน 350,000 บาทกับดอกเบี้ยที่ค้างชำระจำนวน 52,500 บาท จำเลยยินยอมให้นำมาเป็นต้นเงินในสัญญากู้เงินเอกสารหมาย จ.1 ซึ่งเมื่อรวมกันแล้วเป็นต้นเงินใหม่จำนวน 547,500 บาท ก็ย่อมบังคับกันได้ตามข้อตกลงนั้น เมื่อโจทก์บังคับเอาเงินจำนวนนี้ซึ่งมีต้นเงินจำนองและดอกเบี้ยค้างชำระรวมอยู่จากจำเลยแล้ว โจทก์ก็มีหน้าที่จะต้องจดทะเบียนไถ่ถอนจำนองที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างเพื่อให้ปลอดจำนองแก่จำเลยด้วย มิฉะนั้นแล้วโจทก์อาจบังคับจำนองเอาแก่จำเลยอันมีผลเท่ากับเรียกให้ชำระหนี้ซ้ำสอง ศาลฎีกาจึงมีอำนาจพิพากษาให้โจทก์จดทะเบียนไถ่ถอนจำนองได้ เมื่อโจทก์ได้รับชำระหนี้เต็มจำนวนแล้ว
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2536 จำเลยทำสัญญากู้เงินและได้รับเงินไปจากโจทก์จำนวน 720,000 บาท ดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปีชำระดอกเบี้ยทุกเดือน ส่วนต้นเงินจะชำระคืนภายใน 1 ปี จำเลยผิดนัดไม่ชำระทั้งต้นเงินและดอกเบี้ย ดอกเบี้ยค้างชำระถึงวันฟ้องเป็นเงิน201,600 บาท รวมกับต้นเงินเป็นเงิน 921,600 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 921,600 บาท และดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี จากต้นเงิน720,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนถึงวันชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2535 จำเลยเคยกู้เงินจากโจทก์ 350,000 บาท โจทก์คิดดอกเบี้ยล่วงหน้าร้อยละ 3.5 ต่อเดือนเป็นเวลา 1 ปี เป็นค่าดอกเบี้ย 147,000 บาท โจทก์คิดค่านายหน้าอีก 3,000 บาท โดยอ้างว่าเป็นเงินของหุ้นส่วนของโจทก์รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 500,000 บาท โจทก์ให้จำเลยจดทะเบียนจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 56806 พร้อมสิ่งปลูกสร้างเพื่อเป็นประกันหนี้ดังกล่าวไว้แก่โจทก์ นอกจากนี้โจทก์ให้จำเลยลงลายมือชื่อในช่องผู้กู้ในแบบพิมพ์หนังสือสัญญากู้โดยยังโดยยังมิได้กรอกข้อความ ซึ่งถ้าจำเลยไม่ยอมลงชื่อโจทก์ก็จะไม่มอบเงินกู้ให้จำเลย ภายหลังโจทก์กรอกข้อความเอาเองโดยทุจริต เป็นสัญญาปลอม ไม่มีมูลหนี้ จำเลยไม่เคยได้รับเงินกู้ตามสัญญากู้ดังกล่าวขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 720,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ 19 พฤษภาคม 2536 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่ดอกเบี้ยคิดถึงวันฟ้องไม่เกิน 201,600 บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยทำสัญญากู้เงินและได้รับเงินกู้ไปจากโจทก์หรือไม่
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยกู้เงินโจทก์ในการจำนองที่ดินเพียงจำนวน 350,000 บาท ตามที่จำเลยต่อสู้คดีเท่านั้น ส่วนเงินอีก 147,000 บาท เชื่อว่าเป็นดอกเบี้ยเกินอัตราร้อยละ 3.5 ต่อเดือน ซึ่งไม่อาจนำมารวมเข้ากับต้นเงินได้ สำหรับเงินค่านายหน้าของโจทก์จำนวน 3,000 บาท ก็ไม่อาจนำมารวมเข้าเป็นต้นเงินเพราะโจทก์เป็นผู้ให้กู้ ไม่มีเหตุผลและความชอบธรรมที่โจทก์จะเรียกเอาค่านายหน้าจากจำเลย เมื่อรับฟังว่าต้นเงินในการจำนองมีจำนวนเพียง 350,000 บาท ในการทำสัญญากู้เงินฉบับพิพาทตามเอกสารหมาย จ.1 ในอีก 1 ปีต่อมาจึงต้องถือต้นเงินจำนองเพียง 350,000 บาท ไม่ใช่500,000 บาท ดอกเบี้ยค้างชำระเป็นเวลา 1 ปี ในอัตราร้อยละ 15 ต่อปีจากจำนวนเงิน 350,000 บาท เป็นค่าดอกเบี้ย 52,500 บาท โจทก์เบิกความว่าในเวลา 1 ปี ที่ผ่านมาจำเลยไม่เคยชำระดอกเบี้ยให้โจทก์เลย และจำเลยขอกู้เงินเพิ่มจากโจทก์อีก 145,000 บาท โจทก์ยอมให้จำเลยกู้เงินเพิ่ม จึงนำดอกเบี้ยที่ค้างชำระมารวมกับต้นเงินที่กู้เพิ่มและต้นเงินที่จำนองไว้แต่แรกเป็นต้นเงินจำนวนใหม่แล้วทำสัญญากู้เงินฉบับพิพาทขึ้นใหม่ตามเอกสารหมาย จ. นั้น พยานโจทก์มีน้ำหนักน่าเชื่อว่าจำเลยทำสัญญากู้เงินเอกสารหมาย จ.1ไว้ให้โจทก์จริง ข้อเท็จจริงจึงเชื่อได้ว่าจำเลยทำสัญญากู้เงินเอกสารหมาย จ.1 ไว้ให้โจทก์ด้วยความสมัครใจ โดยโจทก์ไม่ได้กรอกข้อความเอาเองโดยพลการและจำเลยได้รับเงินกู้จำนวน 145,000 บาทไปจากโจทก์แล้ว ส่วนดอกเบี้ยที่ค้างชำระจำนวน 52,500 บาท กับต้นเงินจำนวน 350,000 บาท นั้นเมื่อจำเลยยินยอมให้นำมาเป็นเงินในสัญญากู้เงินเอกสารหมาย จ.1 ก็ย่อมบังคับกันได้ตามข้อตกลงนั้น ซึ่งเมื่อรวมกันแล้วเป็นต้นเงินใหม่จำนวน 547,500 บาท แต่ไม่ใช่720,.000 บาท ตามที่โจทก์ฟ้อง และเมื่อโจทก์บังคับเอาเงินจำนวนนี้จากจำเลยแล้ว โจทก์มีหน้าที่จะต้องจดทะเบียนไถ่ถอนจำนองที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างเพื่อให้ปลอดจำนองแก่จำเลยด้วย มิฉะนั้นแล้วโจทก์อาจบังคับจำนองเอาแก่จำเลยอันมีผลเท่ากับเรียกให้ชำระหนี้ซ้ำสอง
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระต้นเงินจำนวน 547,500 บาทพร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ 19 พฤษภาคม 2536จนถึงวันชำระเสร็จแก่โจทก์ และเมื่อโจทก์ได้รับชำระหนี้เต็มจำนวนแล้ว ให้โจทก์จดทะเบียนไถ่ถอนจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 56806ตามหนังสือสัญญาจำนองที่ดินระหว่างโจทก์จำเลยลงวันที่ 19 พฤษภาคม2535 พร้อมสิ่งปลูกสร้างเพื่อให้ปลอดจำนองแก่จำเลย มิฉะนั้น ให้ถือเอาคำพิพากษานี้แทนการแสดงเจตนาของโจทก์