คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4094/2540

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยร่วมและ ล. ได้กู้ยืมเงินจากโจทก์มีจำเลยเป็นผู้ค้ำประกันโดยยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม ต่อมาโจทก์ฟ้องจำเลยร่วมและ ล. ให้ชำระหนี้เงินกู้ยืมดังกล่าวต่อศาลแต่ได้ถอนฟ้องโดยคำร้องขอถอนฟ้องได้ระบุว่า เนื่องจากจำเลยร่วมและ ล.ตกลงชำระหนี้ให้โจทก์บางส่วน โดยโจทก์ไม่ติดใจเรียกร้องจากจำเลยร่วมและ ล. ต่อไปอีก โจทก์จึงขอถอนฟ้องต่อมาโจทก์ฟ้องจำเลยในฐานะผู้ค้ำประกันโดยบรรยายฟ้องขอให้ชำระหนี้ส่วนที่เหลือ แสดงให้เห็นว่าโจทก์ยังติดใจเรียกร้องหนี้ส่วนที่เหลือจากจำเลยในฐานะผู้ค้ำประกันจำเลยร่วมและล.อยู่ หาใช่ยินยอมให้หนี้ส่วนที่เหลือระงับสิ้นไปไม่ แม้โจทก์ถอนฟ้องคดีหลังโดยระบุในคำร้องว่า โจทก์ไม่ประสงค์จะดำเนินคดีแก่จำเลยต่อไป ซึ่งได้ความว่าโจทก์ถอนฟ้องก็เนื่องจากใบมอบอำนาจให้ฟ้องคดีผิดพลาด ดังนี้ จึงไม่อาจฟังว่าโจทก์สละสิทธิในการดำเนินคดีแก่จำเลย โจทก์ย่อมมีสิทธิยื่นฟ้องจำเลยใหม่ในเรื่องเดิมได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 176

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อปี 2530 และปี 2531นายเฉลิมชัย หาญฐาปนาวงศ์ และนางสาวลาภิณี หุ่นผดุงรัตน์กู้ยืมเงินจากโจทก์รวม 2 ครั้งเป็นเงิน 3,833,000 บาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 16 ต่อปี กำหนดชำระภายใน 1 ปี นับแต่วันทำสัญญาโดยมีจำเลยทั้งสามค้ำประกันในฐานะลูกหนี้ร่วม ต่อมานายเฉลิมชัยและนางสาวลาภิณีชำระหนี้ให้โจทก์เพียงบางส่วนและยังคงค้างชำระหนี้ต่อโจทก์คิดถึงวันที่ 3 กันยายน 2535จำนวน 248,493 บาท โจทก์ทวงถามแล้วแต่จำเลยทั้งสามไม่ชำระจึงต้องเสียดอกเบี้ยนับแต่วันที่ 4 กันยายน 2535 ถึงวันฟ้องเป็นเงิน37,253.52 บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินจำนวน285,746.52 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 16 ต่อปี ของต้นเงิน248,493 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสามให้การว่า โจทก์เคยฟ้องนายเฉลิมชัยและนางสาวลาภิณีต่อศาลแพ่งธนบุรีและบุคคลทั้งสองได้ชำระหนี้แก่โจทก์ครบถ้วนแล้วโจทก์มาฟ้องคดีนี้อีกจึงเป็นฟ้องซ้ำนอกจากนี้โจทก์เคยฟ้องจำเลยทั้งสามต่อศาลแพ่งแต่ได้ถอนฟ้องเพราะไม่ประสงค์จะดำเนินคดีแก่จำเลยทั้งสามอีกต่อไป ซึ่งเป็นเรื่องโจทก์สละสิทธิฟ้องจำเลยทั้งสามแล้ว จำเลยทั้งสามจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณา จำเลยทั้งสามยื่นคำร้องขอให้เรียกนายเฉลิมชัย หาญฐาปนาวงศ์ เข้ามาเป็นจำเลยร่วม ศาลชั้นต้นอนุญาต
จำเลยร่วมไม่ยื่นคำให้การ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินจำนวน285,746.52 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 16 ต่อปีจากต้นเงินจำนวน 248,493 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ คดีส่วนจำเลยร่วมให้ยกฟ้อง
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสามฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้เป็นยุติว่า จำเลยร่วมและนางสาวลาภิณี หุ่นผดุงรัตน์ ได้กู้ยืมเงินจากโจทก์มีจำเลยทั้งสามเป็นผู้ค้ำประกันโดยยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม ต่อมาโจทก์ฟ้องจำเลยร่วมและนางสาวลาภิณีให้ชำระหนี้เงินกู้ยืมดังกล่าวต่อศาลแพ่งธนบุรี แต่ได้ถอนฟ้องไป ต่อมาโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสามในฐานะผู้ค้ำประกันให้ชำระหนี้ส่วนที่โจทก์ยังไม่ได้รับชำระจากจำเลยร่วมและนางสาวลาภิณีต่อศาลแพ่งแต่ได้ถอนฟ้องไปอีก แล้วโจทก์ได้มาฟ้องจำเลยทั้งสามเป็นคดีนี้เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2536
มีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสามหรือไม่เห็นว่า ในคำร้องขอถอนฟ้องคดีที่โจทก์ฟ้องจำเลยร่วมและนางสาวลาภิณีตามสำนวนคดีหมายเลขแดงที่ 2471/2533ของศาลแพ่งธนบุรี ได้ระบุว่า เนื่องจากจำเลยทั้งสองตกลงชำระหนี้ให้โจทก์บางส่วน โดยโจทก์ไม่ติดใจเรียกร้องจากจำเลยทั้งสองต่อไปอีก โจทก์จึงขอถอนฟ้อง ต่อมาโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสามในฐานะผู้ค้ำประกัน โดยบรรยายฟ้องว่าจำเลยร่วมและนางสาวลาภิณีกู้ยืมเงินไปแล้วชำระเงินต้นและดอกเบี้ยให้คิดถึงวันที่ 3 กันยายน 2535 คงเป็นหนี้โจทก์อยู่จำนวน 248,493 บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามชำระหนี้ดังกล่าวแก่โจทก์ ตามสำนวนคดีหมายเลขแดงที่2136/2536 ของศาลแพ่ง แสดงให้เห็นว่า โจทก์ยังติดใจเรียกร้องหนี้ส่วนที่เหลือจากจำเลยทั้งสามในฐานะผู้ค้ำประกันจำเลยร่วมและนางสาวลาภิณีอยู่ หาใช่ยินยอมให้หนี้ส่วนที่เหลือระงับสิ้นไปไม่ ทั้งในคดีดังกล่าวจำเลยทั้งสามก็มิได้ให้การต่อสู้ว่าโจทก์ไม่ติดใจเรียกร้องหนี้ส่วนที่เหลือเพราะได้ถอนฟ้องคดีหมายเลขแดงที่2471/2533 ไปแล้วด้วย คงต่อสู้เพียงว่าการที่โจทก์ฟ้องจำเลยร่วมและนางสาวลาภิณีเป็นคดีดังกล่าวโดยมิได้ฟ้องจำเลยทั้งสามเป็นการสละสิทธิที่จะฟ้องจำเลยทั้งสาม โจทก์มาฟ้องอีกจึงเป็นฟ้องซ้ำ และจำเลยร่วมกับนางสาวลาภิณีได้ชำระหนี้ให้โจทก์ครบถ้วนแล้ว จำเลยทั้งสามจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ เห็นได้ว่าไม่มีพยานหลักฐานใดสนับสนุนข้ออ้างของจำเลยทั้งสามที่ว่าโจทก์ไม่ติดใจเรียกร้องหนี้ส่วนที่ยังค้างชำระจากจำเลยทั้งสามทั้งการถอนฟ้องคดีหมายเลขแดงที่ 2471/2533 ก็มิใช่ข้อสันนิษฐานหรือมีผลให้ต้องถือตามข้ออ้างดังกล่าวของจำเลยทั้งสามอนึ่งการที่โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสามต่อศาลแพ่งแล้วถอนฟ้องตามสำนวนคดีหมายเลขแดงที่ 2136/2536 ก็ปรากฏจากคำร้องขอถอนฟ้องคดีดังกล่าวของโจทก์ว่า โจทก์ไม่ประสงค์จะดำเนินคดีนี้แก่จำเลยต่อไปจึงขอถอนฟ้อง เมื่อฟังประกอบกับคำเบิกความของนายสมเดช รามสูต พยานโจทก์ซึ่งเป็นผู้ช่วยผู้จัดการบริษัทโจทก์ที่ว่าโจทก์ยื่นคำร้องขอถอนฟ้องคดีดังกล่าวเนื่องจากใบมอบอำนาจให้ฟ้องคดีผิดพลาดแล้ว ไม่อาจฟังว่าโจทก์สละสิทธิในการดำเนินคดีแพ่งจำเลยทั้งสามดังที่จำเลยทั้งสามอ้างและการถอนฟ้องกรณีดังกล่าวโจทก์ย่อมมีสิทธิยื่นฟ้องจำเลยทั้งสามใหม่ในเรื่องเดิมได้ ตามนัยของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 176
พิพากษายืน

Share