แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คพ.ศ. 2534 ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 28 สิงหาคม 2534 โจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2535 หลังจากพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534ใช้บังคับแล้ว โดยคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ระบุไว้ชัดเจนว่าขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 3,4 คำบรรยายฟ้องของโจทก์จึงต้องถือองค์ประกอบความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 อันเป็นกฎหมายที่โจทก์ขอให้ลงโทษจำเลยและเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับในขณะโจทก์ยื่นฟ้อง ที่โจทก์ฟ้องว่าคำฟ้องของโจทก์บรรยายฟ้ององค์ประกอบความผิดครบถ้วนตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 มาตรา 3นั้น โจทก์ไม่ได้ขอให้ลงโทษตามกฎหมายดังกล่าวทั้งขณะโจทก์ยื่นฟ้องกฎหมายดังกล่าวก็ถูกยกเลิกแล้วตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 3ซึ่งโจทก์กล่าวอ้างมาในคำฟ้องด้วย เมื่อคำฟ้องของโจทก์ไม่ได้บรรยายว่าจำเลยออกเช็คเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมายซึ่งเป็นองค์ประกอบความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4อันเป็นกฎหมายที่โจทก์ขอให้ลงโทษจำเลยและเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับในขณะที่โจทก์ยื่นฟ้อง ดังนี้ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์จึงชอบแล้ว
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อต้นเดือนพฤษภาคม 2534 จำเลยออกเช็คธนาคารกรุงเทพ จำกัด สาขาหนองคาย 2 ฉบับ ฉบับแรกลงวันที่20 มิถุนายน 2534 สั่งจ่ายเงิน 50,000 บาท ฉบับที่ 2 ลงวันที่30 มิถุนายน 2534 สั่งจ่ายเงิน 30,000 บาท ให้แก่นายชูศักดิ์ ทาระกำ ผู้เสียหาย เพื่อชำระหนี้เมื่อถึงกำหนดตามเช็คผู้เสียหายนำเช็คดังกล่าวเข้าบัญชีเรียกเก็บเงิน ปรากฎว่าธนาคารตามเช็คปฎิเสธการใช้เงินตามเช็คฉบับแรก เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2534 และฉบับที่ 2 เมื่อวันที่ 17 กันยายน 2534 ทั้งนี้จำเลยออกเช็คโดยเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็คและออกเช็คโดยในขณะที่ออกไม่มีเงินอยู่ในบัญชีอันจะพึงให้ใช้เงินได้ หรือออกเช็คให้ใช้เงินมีจำนวนสูงกว่าจำนวนที่มีอยู่ในบัญชีอันจะพึงให้ใช้เงินได้ในขณะที่ออกเช็คนั้น ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 3, 4 และนับโทษจำเลยต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 165/2535, 166/2535, 167/2535,382/2535, 434/2535 และ 435/2535 ของศาลชั้นต้น
จำเลยให้การปฎิเสธ แต่ยอมรับว่าเป็นบุคคลเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากเช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 จำคุกกระทงละ 1 เดือน รวมสองกระทงจำคุก 2 เดือน คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์มีว่าคำฟ้องของโจทก์ครบองค์ประกอบความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 มาตรา 3อันเป็นกฎหมายที่ใช้อยู่ในขณะที่จำเลยสั่งจ่ายเช็คและธนาคารปฎิเสธการจ่ายเงินตามเช็ค จึงไม่ขาดองค์ประกอบความผิดเพราะพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คพ.ศ. 2497 มาตรา 3 ไม่ได้บัญญัติว่าต้องเป็นการออกเช็คเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมายนั้น เห็นว่าพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 28 สิงหาคม 2534 โจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2535 หลังจากพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 ใช้บังคับแล้วโดยคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ระบุไว้ชัดเจนว่า ขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คพ.ศ. 2534 มาตรา 3, 4 คำบรรยายฟ้องของโจทก์จึงต้องถือองค์ประกอบความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 อันเป็นกฎหมายที่โจทก์ขอให้ลงโทษจำเลยและเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับในขณะโจทก์ยื่นฟ้องที่โจทก์อ้างว่าคำฟ้องของโจทก์บรรยายองค์ประกอบความผิดครบถ้วนตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คพ.ศ. 2497 มาตรา 3 นั้น โจทก์ไม่ได้ขอให้ลงโทษตามกฎหมายดังกล่าวทั้งขณะโจทก์ยื่นฟ้องกฎหมายดังกล่าวก็ถูกยกเลิกแล้วตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534มาตรา 3 ซึ่งโจทก์กล่าวอ้างมาในคำฟ้องด้วย เมื่อคำฟ้องของโจทก์ไม่ได้บรรยายว่าจำเลยออกเช็คเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมายซึ่งเป็นองค์ประกอบความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4อันเป็นกฎหมายที่โจทก์ขอให้ลงโทษจำเลย และเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับในขณะที่โจทก์ยื่นฟ้อง
พิพากษายืน