แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คดีนี้จำเลยให้การต่อสู้ว่า จำเลยได้ลงชื่อสั่งจ่ายเช็คพิพาทชำระหนี้ค่าเช่าซื้อแก่โจทก์โดยไม่ได้กรอกข้อความ แต่ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทเพียงข้อเดียวว่า จำเลยต้องรับผิดชำระเงินตามเช็คพิพาทแก่โจทก์หรือไม่จำเลยไม่ได้คัดค้านการกำหนดประเด็นข้อพิพาทของศาลชั้นต้น จึงต้องถือว่าจำเลยได้สละประเด็นแห่งคดีตามข้อต่อสู้ดังกล่าวแล้ว ที่จำเลยแก้ฎีกาว่าจำเลยได้ลงชื่อสั่งจ่ายเช็คพิพาทแก่โจทก์โดยไม่ได้กรอกข้อความโจทก์ได้กรอกข้อความลงในเช็คพิพาทเป็นการชำระหนี้เงินดาวน์และเงินค่างวดแก่โจทก์ในภายหลังเป็นการไม่ชอบ จึงไม่เป็นประเด็นที่ศาลฎีกาจะต้องวินิจฉัย รถดั๊มที่จำเลยทำสัญญาเช่าซื้อจากโจทก์เป็นรถใหม่ที่ยังไม่ได้จดทะเบียน จำเลยยังผ่อนชำระค่าเช่าซื้อแก่โจทก์ไม่ครบถ้วนรถดั๊มจึงยังไม่ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลย ตามมาตรา 10 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ.2522ที่บัญญัติว่า ผู้ใดประสงค์จะขอจดทะเบียนรถ ให้ยื่นคำขอต่อนายทะเบียนแห่งท้องที่ที่ตนมีภูมิลำเนา เว้นแต่เจ้าของรถมีความประสงค์จะนำรถไปใช้ในท้องถิ่นอื่น ให้ยื่นคำขอต่อนายทะเบียนท้องถิ่นนั้นได้ แสดงว่าเจ้าของรถมีหน้าที่ต้องจดทะเบียนรถและตามสัญญาเช่าซื้อไม่ได้ระบุว่าค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนรถฝ่ายใดจะต้องรับผิดชอบ เมื่อปรากฏว่าโจทก์ได้รับเงินค่าใช้จ่ายในการจดทะเบียนรถจากจำเลยแล้วทั้งข้อความในใบสั่ง>ขายที่ระบุในช่องค่าทะเบียนว่า “จดเอง” ดังนี้โจทก์ผู้เป็นเจ้าของรถจะต้องเป็นผู้จดทะเบียนรถเองโดยยื่นคำขอต่อนายทะเบียนท้องที่ที่โจทก์มีภูมิลำเนา ทรัพย์ที่ให้เช่าซื้อเป็นรถยนต์บรรทุกสิบล้อ (รถดั๊ม)ใช้บรรทุกเทของหนัก โจทก์เป็นเจ้าของรถดั๊มที่ให้เช่าซื้อจึงมีหนี้ที่จะต้องให้จำเลยได้ใช้หรือรับประโยชน์จากรถนั้น แต่เมื่อโดยสภาพรถนั้นไม่เหมาะแก่การที่จะใช้เพื่อประโยชน์ที่เช่ามาผู้เช่าซื้อก็มีสิทธิบอกเลิกสัญญาเสียได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 572 ประกอบ มาตรา 537และมาตรา 548 เมื่อรถดั๊มที่ให้จำเลยเช่าซื้อเป็นรถที่โจทก์ยังไม่ได้จดทะเบียนจึงต้องห้ามตามมาตรา 7 แห่งพระราชบัญญัติรถยนต์พ.ศ. 2522 ที่ห้ามมิให้ผู้ใดใช้รถที่ยังไม่ได้จดทะเบียน การที่จำเลยได้นำรถที่เช่าซื้อไปใช้บรรทุกดินแล้วถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมและโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของรถไม่ได้ดำเนินการจดทะเบียนรถดั๊มที่ให้จำเลยเช่าซื้อให้ถูกต้องตามกฎหมาย เพื่อจำเลยจะได้นำรถดั๊มที่เช่าซื้อออกวิ่งได้ ถือได้ว่าโจทก์ได้ส่งมอบรถโดยสภาพไม่เหมาะสมที่จะใช้เพื่อประโยชน์ที่เช่า จำเลยจะบอกเลิกสัญญาเสียก็ได้ แต่เมื่อจำเลยไม่ได้บอกเลิกสัญญาและต่อมาโจทก์ได้ยึดรถคืนจากจำเลย โดยจำเลยไม่ได้โต้แย้งจึงต้องถือว่าสัญญาเช่าซื้อได้เลิกกันโดยปริยายโดยโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญา โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยชำระค่าเช่าซื้อและผลแห่งการเลิกสัญญาย่อมทำให้คู่ความแต่ละฝ่ายจำต้องให้อีกฝ่ายหนึ่งได้กลับสู่ฐานะเดิม เมื่อจำเลยได้คืนรถดั๊มแก่โจทก์แล้ว และโจทก์ต้องคืนเงินค่าเช่าซื้อที่รับไปแล้วแก่จำเลยการที่จำเลยออกเช็คพิพาทผ่อนชำระค่าเช่าซื้อล่วงหน้าแก่โจทก์แม้ต่อมาเช็คพิพาทขึ้นเงินไม่ได้ โจทก์ก็ไม่มีสิทธิฟ้องเรียกเงินตามเช็คจากจำเลย ส่วนการที่โจทก์ยอมให้ใช้รถดั๊มที่เช่าซื้อซึ่งจำเลยต้องใช้เงินตามมูลค่าแห่งการนั้น เมื่อคดีนี้โจทก์ฟ้องเรียกเงินตามเช็คเท่านั้น จึงไม่มีปัญหาดังกล่าวที่จะต้องวินิจฉัย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยใช้เงินตามเช็คและดอกเบี้ยแก่โจทก์ 1,315,773 บาท กับดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีของต้นเงิน 1,236,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การว่า เช็คพิพาททั้งเก้าฉบับมีมูลหนี้จากการเช่าซื้อรถยนต์บรรทุกสิบล้อ 5 คัน ที่จำเลยเช่าซื้อจากโจทก์ แต่โจทก์ไม่ได้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในรถยนต์ที่ให้เช่าซื้อ สัญญาเช่าซื้อจึงเป็นโมฆะ นอกจากนี้โจทก์ยังผิดสัญญา เพราะไม่นำรถยนต์ดังกล่าวไปจดทะเบียนต่อนายทะเบียน ทำให้จำเลยไม่อาจนำรถยนต์ที่เช่าซื้อไปใช้งานได้ และโจทก์ได้ยึดรถยนต์ที่เช่าซื้อทั้งห้าคันคืนไปก่อนเช็คบางฉบับถึงกำหนดใช้เงิน สัญญาเช่าซื้อเป็นโมฆะโจทก์จึงไม่มีสิทธิได้รับเงินตามเช็ค จำเลยลงชื่อในเช็คพิพาทโดยไม่ได้กรอกข้อความ โจทก์ได้กรอกข้อความในเช็คพิพาทโดยพลการ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้จำเลยให้การต่อสู้ว่า จำเลยได้ลงชื่อสั่งจ่ายเช็คพิพาททั้ง 9 ฉบับ ชำระหนี้ค่าเช่าซื้อแก่โจทก์โดยไม่ได้กรอกข้อความแต่ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทเพียงข้อเดียวว่าจำเลยต้องรับผิดชำระเงินตามเช็คพิพาทแก่โจทก์หรือไม่จำเลยไม่ได้คัดค้านการกำหนดประเด็นข้อพิพาทของศาลชั้นต้นจึงต้องถือว่าจำเลยได้สละประเด็นแห่งคดีตามข้อต่อสู้ดังกล่าวข้างต้นแล้ว ที่จำเลยแก้ฎีกาว่าจำเลยได้ลงชื่อสั่งจ่ายเช็คพิพาทแก่โจทก์โดยไม่ได้กรอกข้อความ โจทก์ได้กรอกข้อความลงในเช็คพิพาทเป็นการชำระหนี้เงินดาวน์และเงินค่างวดแก่โจทก์ในภายหลังเป็นการไม่ชอบ จึงไม่เป็นประเด็นที่ศาลฎีกาจะต้องวินิจฉัยคดีมีปัญหาตามฎีกาของโจทก์เพียงข้อเพียงว่าจำเลยต้องรับผิดชำระเงินตามเช็คพิพาททั้ง 9 ฉบับ เป็นเงิน 1,236,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์หรือไม่ ข้อเท็จจริงที่โจทก์จำเลยไม่ได้นำสืบโต้เถียงกันฟังเป็นยุติได้ว่า เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2534 และวันที่ 5 กรกฎาคม 2534 จำเลยได้ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์บรรทุกสอบล้อ(รถดั๊ม) ซึ่งเป็นรถใหม่ยังไม่ได้จดทะเบียนจากโจทก์ไป 5 คันโจทก์ส่งมอบรถที่เช่าซื้อแก่จำเลยแล้ว จำเลยได้ออกเช็คพิพาท9 ฉบับเป็นเงินรวม 1,236,000 บาท ให้แก่โจทก์เป็นการชำระหนี้ค่าเช่าซื้อบางส่วนล่วงหน้า จำเลยนำรถไปใช้งาน ต่อมาโจทก์ได้ยึดรถดั๊มทั้ง 5 คัน คืนจากจำเลยที่จังหวัดชุมพร และจำหน่ายให้บุคคลอื่นไป เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่า รถดั๊มที่จำเลยทำสัญญาเช่าซื้อจากโจทก์เป็นรถใหม่ที่ยังไม่ได้จดทะเบียนจำเลยยังผ่อนชำระค่าเช่าซื้อแก่โจทก์ไม่ครบถ้วน รถดั๊มจึงยังไม่ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยตามสัญญาเช่าซื้อเอกสารหมาย ล.1ถึง ล.5 ข้อ 4 ไม่ได้ระบุว่า ค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนรถฝ่ายใดต้องรับผิดชอบ และข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยได้จ่ายเงินจำนวนดังกล่าวแก่โจทก์เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการจดทะเบียนรถแล้ว และมาตรา 10 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ. 2522บัญญัติว่า “ผู้ใดประสงค์จะขอจดทะเบียนรถ ให้ยื่นคำขอต่อนายทะเบียนแห่งท้องที่ที่ตนมีภูมิลำเนา เว้นแต่เจ้าของรถมีความประสงค์จะนำรถไปใช้ในท้องถิ่นอื่น ให้ยื่นคำขอต่อนายทะเบียนท้องถิ่นนั้นได้” ตามนัยแห่งมาตรานี้ แสดงว่าเจ้าของรถมีหน้าที่ต้องจดทะเบียนรถปรากฏว่า บริษัทเอ็ม เอ็ม ซี สิทธิผล จำกัด เป็นผู้จำหน่ายรถดั๊มทั้ง 5 คันแก่โจทก์ และส่งมอบให้โจทก์แล้ว โจทก์จึงได้ให้จำเลยทำสัญญาเช่าซื้อไป จึงต้องถือว่าโจทก์เป็นเจ้าของรถ ซึ่งตามปกติต้องจดทะเบียนใส่ชื่อโจทก์เป็นเจ้าของรถก่อนแล้วจึงโอนทะเบียนเป็นชื่อจำเลยในภายหลังเมื่อรถตกเป็นสิทธิของจำเลย ตามใบสั่งขายรถดั๊มทั้ง 5 คัน ของโจทก์ ปรากฏว่าโจทก์มีภูมิลำเนาอยู่จังหวัดนครปฐม ในช่องจดทะเบียนรถระบุว่า “จังหวัดนครปฐม”ประเภทรถบรรทุกส่วนบุคคลกระบะดั๊ม ซึ่งเป็นท้องที่ที่โจทก์มีภูมิลำเนา ส่วนจำเลยมีภูมิลำเนาอยู่กรุงเทพมหานครและได้นำรถไปใช้ที่จังหวัดชุมพร หากมีข้อตกลงให้จำเลยไปจดทะเบียนรถเองโดยโจทก์มอบอำนาจในใบสั่งขายดังกล่าวก็น่าจะระบุว่าจดทะเบียนที่กรุงเทพมหานครหรือที่จังหวัดชุมพร เมื่อฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์ได้รับเงินค่าใช้จ่ายในการจดทะเบียนรถจากจำเลยแล้วข้อความในในสั่งขายที่ระบุในช่องค่าทะเบียนว่า “จดเอง”จึงต้องมีความหมายว่า โจทก์ผู้เป็นเจ้าของรถจะต้องเป็นผู้จดทะเบียนรถเองโดยยื่นคำขอต่อนายทะเบียนจังหวัดนครปฐมซึ่งเป็นท้องที่ที่โจทก์มีภูมิลำเนาตามนัยแห่งกฎหมายดังกล่าวข้างต้นปรากฏว่าในเดือนมิถุนายนและกรกฎาคม 2534 ภายหลังที่โจทก์ส่งมอบรถดั๊มให้จำเลยแล้ว บริษัทเอ็ม เอ็ม ซี สิทธิผล จำกัดผู้จำหน่ายรถได้ทำเอกสารแจ้งให้นายทะเบียนกรุงเทพมหานครทราบว่าได้จำหน่ายรถดั๊มทั้ง 5 คัน ไปยังจังหวัดนครปฐมและเอกสารแจ้งให้นายทะเบียนกรมการขนส่งทางบกจังหวัดนครปฐมจดทะเบียนรถให้แก่โจทก์ ตามเอกสารหมาย ล.6 (รวม 10 ฉบับ)ซึ่งเป็นเอกสารที่พนักงานของบริษัทยังไม่ได้ลงชื่อ และบริษัทส่งมาเป็นพยานหลักฐานตามหมายเรียกของจำเลย แสดงว่าเอกสารดังกล่าวยังอยู่ที่บริษัทผู้ผลิต ดังนั้น ที่โจทก์อ้างว่าจำเลยรับจะไปจดทะเบียนรถเองและจำเลยไม่มารับเอกสารจากโจทก์ไปดำเนินการจึงไม่อาจรับฟังได้ แต่ระหว่างเดือนกรกฎาคมสิงหาคม กันยายน และตุลาคม 2534 โจทก์ได้นำเช็คชำระค่าเช่าซื้อทั้ง 9 ฉบับ ซึ่งถึงกำหนดชำระเงินแล้วไปเข้าบัญชีเพื่อเรียกเก็บเงินธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินต่อมาโจทก์จึงได้ยึดรถดั๊มทั้ง 5 คันกลับคืนศาลฎีกาเห็นว่า ทรัพย์ที่ให้เช่าซื้อเป็นรถยนต์บรรทุกสิบล้อ (รถดั๊ม) ใช้บรรทุกเทของหนักโจทก์เป็นเจ้าของรถดั๊มที่ให้เช่าซื้อจึงมีหนี้ที่จะต้องให้จำเลยได้ใช้หรือรับประโยชน์จากรถนั้นเมื่อโดยสภาพรถนั้นไม่เหมาะแก่การที่จะใช้เพื่อประโยชน์ที่เช่ามา ผู้เช่าก็มีสิทธิบอกเลิกสัญญาเสียได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 572 ประกอบมาตรา 537 และมาตรา 548 เมื่อรถดั๊มที่ให้จำเลยเช่าซื้อเป็นรถที่โจทก์ยังไม่ได้จดทะเบียนจึงต้องห้ามตามมาตรา 7แห่งพระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ. 2522 ที่ห้ามมิให้ผู้ใดใช้รถที่ยังไม่ได้จดทะเบียนที่จำเลยอ้างว่า ได้นำรถไปใช้บรรทุกดินที่จังหวัดชุมพรแล้วถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับกุม จึงมีเหตุผลสนับสนุนเมื่อโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของรถไม่ได้ดำเนินการจดทะเบียนรถดั๊มที่ให้จำเลยเช่าซื้อให้ถูกต้องตามกฎหมาย เพื่อจำเลยจะได้นำรถดั๋มทั้ง 5 คันที่เช่าซื้อออกวิ่งได้ ถือได้ว่าโจทก์ได้ส่งมอบรถโดยสภาพไม่เหมาะสมที่จะใช้เพื่อประโยชน์ที่เช่า จำเลยจะบอกเลิกสัญญาเสียก็ได้ แต่เมื่อจำเลยไม่ได้บอกเลิกสัญญาและต่อมาโจทก์ได้ยึดรถคืนจากจำเลยโดยจำเลยไม่ได้โต้แย้งจึงต้องถือว่าสัญญาเช่าซื้อได้เลิกกันโดยปริยายโดยโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญา โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยชำระค่าเช่าซื้อ และผลแห่งการเลิกสัญญาย่อมทำให้คู่ความแต่ละฝ่ายจำต้องให้อีกฝ่ายหนึ่งได้กลับสู่ฐานะเดิม ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 391กล่าวคือ จำเลยได้คืนรถดั๊มทั้ง 5 คัน แก่โจทก์แล้วและโจทก์ต้องคืนเงินค่าเช่าซื้อที่รับไปแล้วแก่จำเลย จำเลยออกเช็คพิพาททั้ง 9 ฉบับ ผ่อนชำระค่าเช่าซื้อล่วงหน้าแก่โจทก์ เมื่อเช็คพิพาทขึ้นเงินไม่ได้ โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องเรียกเงินตามเช็คจากจำเลยส่วนที่เป็นการยอมให้ใช้รถดั๊มทั้ง 5 คัน นั้น ซึ่งจำเลยต้องใช้เงินตามมูลค่าแห่งการนั้น ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 391 วรรคสาม ไม่มีปัญหาวินิจฉัยในชั้นนี้ เพราะโจทก์ฟ้องเรียกเงินตามเช็คเท่านั้น
พิพากษายืน