แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เมื่อจำเลยมิใช่เป็นบุคคลที่มีหนี้สินล้นพ้นตัวกรณีก็ไม่ต้องด้วยหลักเกณฑ์ตามพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ. 2483 มาตรา 9 ที่โจทก์จะฟ้องขอให้พิพากษาว่าจำเลยเป็นบุคคลล้มละลายได้ ศาลหาจำต้องวินิจฉัยว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์ตามมูลหนี้ในฟ้องหรือไม่อีก
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นผู้ค้ำประกันหนี้ของนางจี่ล้ง แซ่อื้อ ซึ่งทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีจากโจทก์โดยยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม นางจี่ล้งเป็นหนี้โจทก์คิดเป็นเงินต้นจำนวน 1,654,751.62 บาท โจทก์ทวงถามนางจี่ล้งและจำเลยแล้ว แต่จำเลยและนางจี่ล้งไม่ชำระหนี้ให้แก่โจทก์ต่อมานางจี่ล้งถูกเจ้าหนี้รายอื่นฟ้องเป็นคดีล้มละลายที่ศาลแพ่งตามคดีหมายเลขแดงที่ ล.334/2531 และศาลแพ่งพิพากษาให้นางจี่ล้งเป็นบุคคลล้มละลาย โจทก์ขอรับชำระหนี้จากกองทรัพย์สินของนางจี่ล้งแล้วแต่ยังไม่ได้รับชำระหนี้ โจทก์จึงให้ทนายความมีหนังสือทวงถามให้จำเลยชำระหนี้ 2 ครั้ง มีระยะห่างกันไม่น้อยกว่า30 วัน จำเลยเพิกเฉย นับถึงวันฟ้องจำเลยเป็นหนี้เงินต้นและดอกเบี้ยซึ่งเป็นหนี้ที่กำหนดจำนวนได้โดยแน่นอนเป็นเงิน 3,773,173.72 บาทขอให้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาด และพิพากษาให้จำเลยเป็นบุคคลล้มละลาย
จำเลยให้การรับว่า ได้ทำสัญญาค้ำประกันหนี้ของนางจี่ล้งในวงเงินไม่เกิน 1,000,000 บาท แต่นางจี่ล้งไม่ได้เป็นหนี้โจทก์จำเลยจึงไม่จำต้องรับผิดต่อโจทก์ และจำเลยไม่เป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า นางจี่ล้ง แซ่อื้อ ทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีจากโจทก์ มีจำเลยเป็นผู้ค้ำประกัน ณ วันที่ 24 พฤศจิกายน2529 นางจี่ล้งยังเป็นหนี้โจทก์จำนวน 1,654,751.62 บาทแต่จำเลยมีทรัพย์สินเพียงพอที่จะชำระหนี้โจทก์ มิใช่บุคคลผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัว พิพากษายกฟ้อง
จำเลยอุทธรณ์ว่า นางจี่ล้งได้นำเงินเข้าบัญชีเพื่อหักทอนบัญชีจนมียอดหนี้เป็นศูนย์และไม่มียอดหนี้ค้างชำระแก่โจทก์จึงไม่มีหนี้ที่จำเลยในฐานะผู้ค้ำประกันจะต้องรับผิดต่อโจทก์ศาลจะต้องวินิจฉัยถึงมูลหนี้ที่โจทก์นำมาฟ้องว่ามีมูลหนี้อยู่จริงหรือไม่เสียก่อน แล้วจึงจะวินิจฉัยต่อไปว่าจำเลยเป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัวหรือไม่
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า การพิพากษาคดีล้มละลาย เมื่อจำเลยไม่ใช่บุคคลผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัวแล้ว จำเลยจะเป็นหนี้โจทก์หรือไม่ไม่ใช่สาระสำคัญที่จะต้องวินิจฉัยต่อไปในคดีล้มละลาย ที่ศาลชั้นต้นฟังว่าจำเลยไม่ใช่บุคคลผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัว แล้วพิพากษายกฟ้องโดยไม่วินิจฉัยว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์หรือไม่นั้นชอบแล้ว พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีล้มละลายวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นว่า จำเลยมีทรัพย์สินเพียงพอที่จะชำระหนี้ให้แก่โจทก์ได้มิใช่บุคคลผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัว จำเลยจึงไม่อยู่ในฐานะที่โจทก์จะฟ้องให้ล้มละลายได้ตามพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ. 2483 มาตรา 9 ที่จำเลยฎีกาว่า ในการพิพากษาคดีล้มละลายศาลจะต้องวินิจฉัยมูลหนี้ที่โจทก์นำมาฟ้องเสียก่อนว่า มีมูลหนี้อยู่จริงหรือไม่ แล้วจึงวินิจฉัยต่อไปว่าจำเลยเป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัวหรือไม่นั้น เห็นว่า เมื่อฟังว่าจำเลยมิใช่เป็นบุคคลที่มีหนี้สินล้นพ้นตัว กรณีก็ไม่ต้องด้วยหลักเกณฑ์ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 9 ที่โจทก์จะฟ้องขอให้พิพากษาว่าจำเลยเป็นบุคคลล้มละลายได้ โดยหาจำต้องวินิจฉัยว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์ตามมูลหนี้ในฟ้องหรือไม่อีกแต่อย่างใด
พิพากษายืน