คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1207/2540

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 และที่ 2 กับพวกลักทรัพย์โจทก์ไปครั้งเดียวข้อพิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ในคดีนี้เป็นคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาซึ่งพนักงานอัยการมีสิทธิเรียกทรัพย์สินหรือราคาแทนโจทก์ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 43 และมาตรา 44 และในการพิจารณาพิพากษาคดีส่วนแพ่งดังกล่าว ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 40 และมาตรา 47กำหนดว่าต้องเป็นไปตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง และกฎหมายอันว่าด้วยความรับผิดของบุคคลในทางแพ่ง เมื่อศาลสั่งให้จำเลยที่ 1และที่ 2 คืนหรือใช้ราคาทรัพย์แก่โจทก์ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 50 ให้ถือว่าโจทก์เป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาและมีอำนาจดำเนินการบังคับคดีตามคำพิพากษาได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 249ฉะนั้น การที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 และที่ 2เป็นคดีอาญาและในคดีส่วนแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาได้มีคำขอให้ศาลสั่งคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ให้โจทก์ในฐานะผู้เสียหาย จึงเป็นการฟ้องคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาแทนโจทก์โจทก์จึงมีฐานะเป็นคู่ความและต้องผูกพันตามคำพิพากษาคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีส่วนอาญาดังกล่าวด้วย ดังนั้นโจทก์จะรื้อร้องฟ้องคดีแพ่งในประเด็นที่ศาลในคดีอาญาได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันอีกไม่ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148 จำเลยที่ 3ละทิ้งหน้าที่เฝ้ายามไปเป็นเวลานาน เป็นเหตุให้คนร้ายถือโอกาสเข้าไปลักทรัพย์ของโจทก์ จึงเป็นการประมาทเลินเล่อ เมื่อโจทก์ได้รับความเสียหาย จำเลยที่ 3 จึงต้องรับผิดต่อโจทก์ จำเลยที่ 3 มิได้ถูกฟ้องเป็นจำเลยในคดีอาญาของศาลชั้นต้นจำเลยที่ 3 จึงไม่ได้เป็นคู่ความ ทั้งคดีนี้โจทก์ฟ้องโดยยกข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาว่า จำเลยที่ 3 กระทำละเมิดโดยประมาทเลินเล่อในการปฏิบัติหน้าที่ฟ้องโจทก์ในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 3 จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ จึงไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 3 เป็นลูกจ้างของโจทก์มีหน้าที่เป็นยามเฝ้าดูแลเครื่องจักรและรถตัดดินของโจทก์ ซึ่งนำไปใช้งานในการปรับปรุงไหล่ทางของทางหลวงหมายเลข 4 ช่วงระหว่างกรุงเทพ-นครปฐม ซึ่งจอดเก็บไว้ที่บริเวณหน้างานทีหลักกิโลเมตรที่48+700 ระหว่างเวลา 16.30 นาฬิกา ถึง 7 นาฬิกาของวันรุ่งขึ้นเป็นประจำทุกวัน เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2529 เวลาประมาณ 2 นาฬิกา จำเลยที่ 1 และที่ 2 กับพวกอีกหลายคนได้ร่วมกันลักทรัพย์ถอดเอาอะไหล่รถตักดินคันดังกล่าวของโจทก์ไปหลายรายการ ในชั้นแรกเจ้าหน้าที่ของโจทก์ตรวจพบว่าถูกลักเอาไป 4 รายการ คิดเป็นเงิน 90,000 บาท ในวันเดียวกันนั้นเจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยที่ 1 และที่ 2 นำส่งพนักงานสอบสวนทำการสอบสวนดำเนินคดี ต่อมาพนักงานอัยการจังหวัดนครปฐมส่งฟ้องจำเลยที่ 1 และที่ 2 ฐานร่วมกันลักทรัพย์ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุกจำเลยที่ 1 และที่ 2 และให้จำเลยที่ 1และที่ 2 คืนหรือใช้ราคาทรัพย์ให้โจทก์ 90,000 บาท ต่อมาโจทก์ตรวจพบว่าอะไหล่รถตักดินคันดังกล่าวถูกจำเลยที่ 1 และที่ 2กับพวกลักไปทั้งสิ้นจำนวน 14 รายการ คิดเป็นเงิน 241,032 บาทในคืนเกิดเหตุจำเลยที่ 3 ได้ละเลยในการปฏิบัติหน้าที่ไม่คอยเฝ้าดูแลรถตักดินคันเกิดเหตุ กลับไปพักอยู่ที่บ้านของชาวบ้านซึ่งไม่สามารถเฝ้ามองเห็นบริเวณที่จอดรถตักดินได้ และเป็นการประมาทเลินเล่อในการปฏิบัติหน้าที่ หรือจงใจละเว้นการปฏิบัติหน้าที่เป็นเหตุให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 กับพวกร่วมกันลักทรัพย์ถอดเอาอะไหล่รถตักดินของโจทก์ไป ก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ โจทก์ได้สั่งซื้ออะไหล่ที่เสียหายเพราะการละเมิดดังกล่าวเพื่อช่วยรถสิ้นเงินไปจำนวน 241,032 บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันและแทนกันชดใช้เงินจำนวน 241,032 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ 1 และที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 3 ให้การว่า จำเลยที่ 3 ได้เฝ้าดูแลทรัพย์สินของโจทก์เป็นปกติวิสัยเยี่ยงวิญญูชนปฏิบัติ คืนเกิดเหตุฝนตกหนักจำเลยที่ 3 ไม่สามารถอยู่เฝ้าทรัพย์ได้ เนื่องจากไม่มีป้อมยามจึงต้องหลบฝนไปอยู่ที่ชายคาบ้านของชาวบ้านเมื่อจำเลยที่ 3ทราบว่ามีอะไหล่รถตักดินของโจทก์หายก็ได้แจ้งให้หัวหน้าหมวดการทางนครปฐมทราบในวันเดียวกันเจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยที่ 1และที่ 2 ได้ ฟ้องของโจทก์เป็นฟ้องซ้ำ เนื่องจากโจทก์เคยฟ้องจำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นคดีอาญาและมีคำขอให้จำเลยที่ 1 และที่ 2ใช้ราคาทรัพย์ที่สูญหาย 4 รายการเป็นเงิน 90,000 บาท และศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ใช้ราคาทรัพย์90,000 บาท ให้โจทก์ คดีถึงที่สุดแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 3 ชำระเงินจำนวน 90,000 บาทแก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 และที่ 2
โจทก์และจำเลยที่ 3 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
โจทก์และจำเลยที่ 3 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยตามที่โจทก์ฎีกาข้อเดียวว่า ฟ้องโจทก์คดีนี้ในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 1และที่ 2 เป็นฟ้องซ้ำต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148 หรือไม่พิเคราะห์แล้ว ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 1และที่ 2 กับพวกลักทรัพย์โจทก์ไปครั้งเดียว และคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 962/2530 ของศาลชั้นต้นถึงที่สุดแล้ว ในคดีดังกล่าวพนักงานอัยการโจทก์ระบุในคำฟ้องว่าโจทก์เป็นผู้เสียหายและมีคำขอให้ศาลสั่งให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ใช้ราคาทรัพย์สินแก่โจทก์จำนวน 90,000 บาท ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 43, 44 และ 47เห็นว่า ข้อพิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ในคดีนี้เป็นคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 962/2530ของศาลชั้นต้น ในการฟ้องคดีอาญาดังกล่าวพนักงานอัยการมีสิทธิเรียกทรัพย์สินหรือราคาแทนโจทก์ ซึ่งเป็นผู้เสียหายได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 43 และมาตรา 44ในการพิจารณาพิพากษาคดีส่วนแพ่งดังกล่าวประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 40 และมาตรา 47กำหนดว่าต้องเป็นไปตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งและกฎหมายอันว่าด้วยความรับผิดของบุคคลในทางแพ่งเมื่อศาลสั่งให้จำเลยที่ 1 และที่ 2คืนหรือใช้ราคาทรัพย์แก่โจทก์ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 50 ให้ถือว่าโจทก์เป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษา และมีอำนาจดำเนินการบังคับคดีตามคำพิพากษาได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 249 ฉะนั้นการที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นคดีอาญาและในคดีส่วนแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาได้มีคำขอให้ศาลสั่งคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ให้โจทก์ในฐานะผู้เสียหายจึงเป็นการฟ้องคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาแทนโจทก์ โจทก์มีฐานะเป็นคู่ความและต้องผูกพันตามคำพิพากษาคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีส่วนอาญาดังกล่าวด้วย ดังนั้น โจทก์จะรื้อร้องฟ้องกันอีกในประเด็นที่ศาลในคดีอาญาได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันอีกไม่ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148
ปัญหาวินิจฉัยต่อไปตามฎีกาจำเลยที่ 3 ข้อแรกว่า จำเลยที่ 3มิได้จงใจหรือประมาทเลินเล่อ จำเลยที่ 3 ปฏิบัติหน้าที่ตามปกติอะไหล่รถตักดินของโจทก์ถูกถอดขณะฝนตกหนัก เมื่อฝนตกก็ต้องหลบฝนเป็นธรรมดา และเป็นเหตุสุดวิสัยที่จำเลยที่ 3 จะป้องกันได้ ไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงยุติตามที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3วินิจฉัยว่า จำเลยที่ 3 มีตำแหน่งเป็นยามมีหน้าที่เฝ้าดูแลรถตักดินคนร้ายถอดเอาอะไหล่รถตักดินของโจทก์ไปหลายรายการการถอดเอาอะไหล่ของรถตักดินในเวลากลางคืนนั้นกว่าจะถอดได้แต่ละชิ้นต้องใช้เวลานานคนร้ายใช้เวลาในการลักทรัพย์ค่อนข้างมากจำเลยที่ 3 ทราบเรื่องคนร้ายเข้าไปลักทรัพย์หลังจากคนร้ายเอาทรัพย์ไปแล้ว และทราบจากบุคคลอื่นที่เดินผ่านที่เกิดเหตุเป็นผู้บอก เห็นว่า จากข้อเท็จจริงดังกล่าวแสดงว่าจำเลยที่ 3ละทิ้งหน้าที่ไปเป็นเวลานาน การที่มีผู้เดินผ่านที่เกิดเหตุได้ในขณะเกิดเหตุแสดงว่า ฝนที่ตกในขณะเกิดเหตุมิได้รุนแรงถึงขนาดที่จำเลยที่ 3 ไม่สามารถจะอยู่ในที่เกิดเหตุได้ ฉะนั้นการที่จำเลยที่ 3 ละทิ้งหน้าที่เฝ้ายามไปเป็นเวลานาน เป็นเหตุให้คนร้ายถือโอกาสเข้าไปลักทรัพย์ของโจทก์ จึงเป็นการประมาทเลินเล่อ เมื่อโจทก์ได้รับความเสียหายจำเลยที่ 3จึงต้องรับผิดต่อโจทก์
จำเลยที่ 3 ฎีกาต่อไปว่า ฟ้องโจทก์เป็นฟ้องซ้ำต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148 เห็นว่าจำเลยที่ 3 มิได้ถูกฟ้องเป็นจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่962/2530 ของศาลชั้นต้น จำเลยที่ 3 จึงไม่ได้เป็นคู่ความทั้งคดีนี้โจทก์ฟ้องโดยยกข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาว่าจำเลยที่ 3 กระทำละเมิดโดยประมาทเลินเล่อในการปฏิบัติหน้าที่ฟ้องโจทก์จึงไม่ต้องห้ามตามกฎหมายมาตราดังกล่าว
พิพากษายืน

Share