คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1071/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์เข้ายึดถือครอบครองที่ดินที่อยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติจึงไม่ได้สิทธิครอบครองขณะโจทก์ขอบังคับคดีผู้ร้องทั้งห้าเป็นฝ่ายครอบครองที่ดินนั้นโดยได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานให้เข้าทำประโยชน์หรืออยู่อาศัยในที่ดินดังกล่าวแล้วผู้ร้องทั้งห้าจึงมิใช่บริวารของจำเลยที่โจทก์จะขอให้บังคับให้ผู้ร้องทั้งห้าออกจากที่ดินนั้นได้

ย่อยาว

คดี นี้ สืบเนื่อง มาจาก โจทก์ ฟ้องขับไล่ จำเลย และ บริวาร ออกจากที่ดิน ของ โจทก์ และ ห้าม เกี่ยวข้อง กับ ที่ดิน ของ โจทก์ อีก ต่อไปศาลชั้นต้น พิพากษา ตามยอม ให้ จำเลย ออกจาก ที่ดิน ของ โจทก์ ภายใน 30 วันนับแต่ วันที่ 4 กรกฎาคม 2534 และ ไม่เกี่ยว ข้อง กับ ที่ดิน ของ โจทก์ต่อไป ต่อมา จำเลย ไม่ปฏิบัติ ตาม คำพิพากษา โจทก์ จึง นำ เจ้าพนักงานบังคับคดี บังคับ ให้ จำเลย และ บริวาร ออกจาก ที่ดิน ของ โจทก์ ปรากฏว่าจำเลย ออกจาก ที่ดิน ของ โจทก์ และ ไม่ได้ เกี่ยวข้อง แล้ว คงเหลือ แต่ผู้ร้อง ทั้ง ห้า ซึ่ง เป็น บุตร กับ หลาน ของ จำเลย ปลูก บ้าน อยู่ ใน ที่ดินของ โจทก์ เจ้าพนักงาน บังคับคดี จึง ปิดประกาศ กำหนด เวลา ให้ ผู้ที่ อ้างว่า ไม่ใช่ บริวาร ของ จำเลย ยื่น คำร้อง แสดง อำนาจ พิเศษ ต่อ ศาล ภายในกำหนด 8 วัน นับแต่ วันประกาศ
ผู้ร้อง ทั้ง ห้า ยื่น คำร้อง ว่า ที่ดิน ที่ โจทก์ นำ เจ้าพนักงานบังคับคดี บังคับ ให้ ผู้ร้อง ทั้ง ห้า ออก ไป นั้น เป็น ที่ดิน ที่ ตั้ง อยู่ใน เขต ป่าสงวนแห่งชาติ ป่าวันโปง-ชนแดน-วังกำแพง และ ผู้ร้อง ที่ 1และ ที่ 2 ได้รับ อนุญาต ให้ ทำกิน ใน ที่ดิน ส่วน ผู้ร้อง ที่ 3 ที่ 4และ ที่ 5 ร่วม ครอบครอง และ อยู่ ใน ระหว่าง การ ขออนุญาต ทำกิน ใน ที่ดินดังกล่าว ซึ่ง มี เนื้อที่ ประมาณ 80 ไร่ ผู้ร้อง ทั้ง ห้า มิได้ เป็น บริวารของ จำเลย ขอให้ เพิกถอน การ บังคับคดี แก่ ผู้ร้อง ทั้ง ห้า
โจทก์ ยื่น คำคัดค้าน ว่า ที่ดิน ที่ ผู้ร้อง ทั้ง ห้า เข้า มา อยู่อาศัยเป็น ที่ดิน ของ โจทก์ ที่ โจทก์ ครอบครอง มา ตั้งแต่ ปี 2517 ผู้ร้อง ที่ 1และ ที่ 2 ได้รับ การ ผ่อนผัน ให้ มีสิทธิ ทำกิน ชั่วคราว ใน ที่ดิน ของ โจทก์ก็ โดย การ แจ้งเท็จ ต่อ เจ้าหน้าที่ ผู้ร้อง ที่ 1 และ ที่ 2 กระทำการโดย ไม่สุจริต ก่อน ฟ้องคดี นี้ ผู้ร้อง ทั้ง ห้า เคย ติดต่อ ขอ ซื้อ ที่ดินจาก โจทก์ แต่ ตกลง กัน ไม่ได้ บ้าน ของ ผู้ร้อง ทั้ง ห้า สร้าง ขึ้น บน ที่ดินของ โจทก์ ใน ขณะที่ โจทก์ ฟ้องคดี นี้ ผู้ร้อง ที่ 1 ถึง ที่ 4 เป็น บุตรของ จำเลย ส่วน ผู้ร้อง ที่ 5 เป็น หลาน ของ จำเลย ผู้ร้อง ทั้ง ห้าเข้า มา ใน ที่ดิน ของ โจทก์ ก็ โดย อาศัย สิทธิ ของ จำเลย ที่ เช่า ที่ดินจาก โจทก์ ผู้ร้อง ทั้ง ห้า จึง เป็น บริวาร ของ จำเลย โจทก์ จึง มีสิทธิบังคับ ผู้ร้อง ทั้ง ห้า ออกจาก ที่ดิน ของ โจทก์ ขอให้ ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้น มี คำสั่ง ให้ เพิกถอน การ บังคับคดี ของ เจ้าพนักงานบังคับคดี ที่ จะ บังคับคดี แก่ ผู้ร้อง ทั้ง ห้า
โจทก์ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ ภาค 2 พิพากษายืน
โจทก์ ฎีกา
ศาลฎีกา วินิจฉัย ว่า ที่พิพาท อยู่ ใน เขต ป่าสงวนแห่งชาติห้าม มิให้ บุคคล ใด ยึดถือ ครอบครอง แม้ โจทก์ จะ ครอบครอง ที่ดิน มา ก่อนก็ ไม่ปรากฏ ว่า โจทก์ เคย ยื่น คำร้องขอ กัน ที่พิพาท ออกจาก เขต ป่าสงวนแห่งชาติ ดังนั้น การ ที่ โจทก์ เข้า ยึดถือ ครอบครอง ที่ดิน ที่อยู่ใน เขต ป่าสงวนแห่งชาติ โจทก์ จึง ไม่ได้ สิทธิ ครอบครอง เมื่อ ข้อเท็จจริงปรากฏว่า ใน ขณะที่ โจทก์ ขอบังคับคดี ผู้ร้อง ทั้ง ห้า เป็น ฝ่าย ครอบครองที่พิพาท โดย ได้รับ อนุญาต จาก เจ้าพนักงาน ให้ เข้า ทำประโยชน์ หรืออยู่อาศัย ใน เขต ป่าสงวนแห่งชาติ ผู้ร้อง ทั้ง ห้า จึง มิใช่ บริวารของ จำเลย อัน โจทก์ จะ พึง ขอให้ บังคับ ให้ ผู้ร้อง ทั้ง ห้า ออกจากที่พิพาท นั้น ได้
พิพากษายืน

Share