แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
การที่ทนายความจำเลยนำสัญญาเช่ามาใช้ในการถามค้านโจทก์ ซึ่งอ้างตนเองเป็นพยาน โจทก์รับว่าสามีของโจทก์ทำสัญญาเช่า ที่พิพาทจากจำเลยตามสัญญาดังกล่าว จึงชอบที่ศาลจะนำสัญญาเช่า มาประกอบการวินิจฉัยพยานหลักฐานของโจทก์ได้ เพราะเป็นเอกสารประกอบคำถามค้าน หาใช่เป็นกรณีจำเลยเรียกพยานหลักฐานของตนเข้าสืบในคดีที่จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เดิมจำเลยเป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 6306เนื้อที่ 9 ไร่ 2 งาน 39 ตารางวา ต่อมาจำเลยได้ทำสัญญาขายที่ดินดังกล่าวส่วนที่อยู่ฝั่งตะวันตกของคลองชลประทานเนื้อที่ 2 งาน23 ตารางวา ให้แก่โจทก์ ในวันทำสัญญาจำเลยได้รับเงินไปจากโจทก์ครบถ้วนแล้ว โจทก์และจำเลยไม่ได้ตกลงกันว่าจะไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินกันเมื่อใด แต่จำเลยได้ส่งมอบการครอบครองที่ดินดังกล่าวให้แก่โจทก์แล้ว โจทก์ได้เข้าครอบครองที่ดินดังกล่าวโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเป็นเวลา 10 ปี 11 เดือน จนได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ต่อมาจำเลยได้นำที่ดินแปลงดังกล่าวไปขอออกโฉนดใหม่เป็นโฉนดที่ดินเลขที่ 13783 ขอให้พิพากษาว่าที่ดินแปลงดังกล่าวตกเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ ให้จำเลยไปจดทะเบียนแก้ไขชื่อจำเลยในโฉนดที่ดินดังกล่าวเป็นชื่อโจทก์ หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับเป็นว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ 13783ตำบลสามบัณฑิตย์ (บ้านตลาด) อำเภออุทัย (อุทัยใหญ่)จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เนื้อที่ 2 งาน 23 ตารางวา เป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ด้วยการครอบครองปรปักษ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1382 ให้ยกคำขอของโจทก์ที่ขอให้บังคับจำเลยไปจดทะเบียนแก้ไขชื่อผู้ถือกรรมสิทธิ์ในโฉนดที่ดินดังกล่าวเป็นชื่อโจทก์
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่จำเลยฎีกาว่าการที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2ไม่รับฟังสัญญาเช่าเอกสารหมาย ล.2 ที่จำเลยใช้ในการถามค้านพยานโจทก์ไม่ชอบนั้น เห็นว่า คดีนี้จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การจำเลยมีสิทธิเพียงอ้างตนเองเป็นพยานและถามค้านพยานโจทก์เท่านั้นไม่มีสิทธินำพยานของจำเลยเข้าสืบไม่ว่าพยานบุคคลหรือพยานเอกสารตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 199 วรรคสองแต่การที่ทนายความจำเลยนำสัญญาเช่าเอกสารหมาย ล.2 มาใช้ในการถามค้านโจทก์ซึ่งอ้างตนเองเป็นพยาน โจทก์รับว่าสามีของโจทก์ทำสัญญาเช่าที่พิพาทจากจำเลยตามสัญญาเช่าดังกล่าวหลังจากจำเลยขายที่พิพาทให้โจทก์ประมาณ 5 ถึง 6 ปีแล้ว จึงชอบที่ศาลจะนำสัญญาเช่าดังกล่าวมาประกอบการวินิจฉัยพยานหลักฐานของโจทก์ได้เพราะเป็นเอกสารประกอบคำถามค้าน หาใช่เป็นกรณีจำเลยเรียกพยานหลักฐานของตนเข้าสืบอันเป็นการฝ่าฝืนต่อบทกฎหมายดังกล่าวข้างต้นไม่ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ไม่รับฟังสัญญาเช่าเอกสารหมาย ล.2ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย
ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยว่าโจทก์ได้กรรมสิทธิ์ในที่พิพาทโดยการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 ไม่ชอบนั้น เห็นว่า ในคดีนี้จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ ประเด็นข้อพิพาทคงเกิดจากคำฟ้องเท่านั้นว่าจำเลยขายที่พิพาทให้โจทก์ และโจทก์เข้าครอบครองที่พิพาทจนได้กรรมสิทธิ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 หรือไม่โจทก์และนางปราโมทย์พยานโจทก์เบิกความว่า จำเลยขายที่พิพาทให้โจทก์เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2524 ตามสัญญาซื้อขายเอกสารหมาย จ.2 แต่พอทนายความจำเลยนำหนังสือสัญญาเช่าเอกสารหมาย ล.2 ซึ่งระบุว่านายเฉลิมเช่าที่นาจากจำเลยมีกำหนด5 ปี ตั้งแต่วันที่ 8 เมษายน 2526 ถึงวันที่ 8 เมษายน 2531มาใช้ในการถามค้านโจทก์ซึ่งอ้างตนเองเป็นพยาน โจทก์เบิกความรับว่าสัญญาเช่าดังกล่าวเป็นสัญญาเช่าที่สามีโจทก์เช่าที่พิพาทจากจำเลยโดยโจทก์ลงชื่อเป็นพยานในสัญญาดังกล่าวสัญญาซื้อขายระหว่างโจทก์กับจำเลยทำก่อนหน้าสัญญาเช่าดังกล่าวประมาณ 5 ถึง 6 ปี แม้ว่าโจทก์จะเบิกความตอบคำถามติงของทนายความโจทก์ว่า ความจริงไม่ใช่การเช่าที่ดินกัน เหตุที่ทำหนังสือสัญญาเช่าดังกล่าวเพราะจำเลยอ้างว่าให้ทำสัญญาเช่าไว้ก่อนแล้ว จำเลยจะโอนที่พิพาทให้ก็ตาม แต่ไม่มีเหตุผลเพียงพอจะลบล้างคำเบิกความตอบคำถามค้านของทนายความจำเลยดังกล่าวได้จำเลยอ้างตนเองเป็นพยานเบิกความว่า จำเลยทำสัญญาจะขายที่พิพาทไว้แก่โจทก์ เมื่อพิจารณาถึงพฤติการณ์ของโจทก์แล้ว เห็นว่าหากโจทก์ซื้อที่พิพาทจากจำเลยแล้ว เหตุใดโจทก์จึงรู้เห็นยินยอมให้สามีโจทก์เช่าที่พิพาทจากจำเลยต่อมาอีก ส่อเป็นพิรุธพยานหลักฐานของโจทก์รับฟังไม่ได้ว่า จำเลยขายที่พิพาทให้โจทก์แล้วดังนั้น โจทก์จึงมิได้ครอบครองที่พิพาทอันเนื่องมาจากการซื้อที่พิพาทจากจำเลยดังข้ออ้างตามคำฟ้องของโจทก์ โจทก์จึงไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่พิพาทตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกาฎีกาของจำเลยฟังขึ้น”
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง