คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6359/2539

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

แม้ผู้ตายจะขับรถในความครอบครองของจำเลยที่ 4 เดินทางกลับ จากไปราชการตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชาเสร็จแล้วหลังจากนั้นผู้ตายได้ขับรถออกไปรับประทานอาหารและส่งเพื่อนจนเกิดอุบัติเหตุชนกับรถบรรทุกตอนขากลับ ซึ่งผู้ตายยังต้องนำรถไปเก็บที่สำนักงานของจำเลยที่ 4 ถือว่าการกระทำของผู้ตายยังอยู่ในระหว่างปฏิบัติตามหน้าที่การงาน จำเลยที่ 4จึงต้องร่วมรับผิดในผลละเมิดที่ผู้ตายได้ก่อขึ้นต่อโจทก์ด้วย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า นายเสถียร ภู่ระหงษ์ได้ขับรถยนต์บรรทุกหมายเลขทะเบียน 52-0528 นครปฐมไปตามถนนเพชรเกษมจากด้านอำเภอนครชัยศรีมุ่งหน้าไปอำเภอเมืองนครปฐม ด้วยความเร็วตามกฎหมายและระมัดระวังเป็นอย่างดี เมื่อรถมาถึงบริเวณระหว่างกิโลเมตรที่ 43ถึง 44 ตำบลท่าตำหนัก อำเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐมได้มีนายประพันธ์ พร้อมมูล ผู้ตาย ขับรถยนต์หมายเลขทะเบียนบ-9150 นครปฐม ในทางการที่จ้างหรือตามคำสั่งของจำเลยที่ 4สวนทางมาด้วยความประมาท ทำให้รถยนต์ที่ขับเสียหลักตกลงไปในร่องกลางถนนแล้วแฉลบเข้าไปในเส้นทางเดินรถของนายเสถียรเป็นเหตุให้รถยนต์ทั้งสองคันเกิดชนกันผู้ตายเสียชีวิตโจทก์ในฐานะผู้รับประกันภัยรถยนต์บรรทุกหมายเลขทะเบียน82-0528 นครปฐม ได้จัดการซ่อมแซมรถยนต์บรรทุกเป็นเงินรวม215,157 บาท ขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3ในฐานะทายาทโดยธรรมผู้รับมรดกของผู้ตายและจำเลยที่ 4ในฐานะนายจ้างหรือตัวการผู้ออกคำสั่งให้ผู้ตายขับรถในทางการที่จ้างหรือในธุรกิจของจำเลยที่ 4 ขณะเกิดเหตุร่วมกันชำระเงินจำนวน 224,570 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีของต้นเงิน 215,157 บาท นับตั้งแต่วันฟ้องจนกว่าได้ชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสี่ให้การว่า เหตุละเมิดจากความประมาทเลินเล่อของนายเสถียรผู้ขับรถยนต์บรรทุก ค่าซ่อมและค่าอะไหล่ที่โจทก์ขอมาสูงเกินความเป็นจริง ผู้ตายไม่มีทรัพย์มรดกตกทอดแก่ทายาทจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 จึงไม่ต้องรับผิด จำเลยที่ 4กับผู้ตายต่างเป็นข้าราชการ จึงมิใช่ลูกจ้างนายจ้าง ผู้ตายขับรถไปในที่เกิดเหตุเพื่อกิจธุระส่วนตัว มิได้ทำในฐานะลูกจ้างหรือตัวแทนหรือกระทำการตามคำสั่งหรือมอบหมายของจำเลยที่ 4 รถยนต์บรรทุกเสียหายเพียงเล็กน้อยซ่อมแซมใช้เงินไม่เกิน 70,000 บาทขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระเงินจำนวน150,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับตั้งแต่วันที่ 17 สิงหาคม 2533 จนกว่าได้ชำระเสร็จแก่โจทก์ เฉพาะจำเลยที่ 1ที่ 2 และที่ 3 ให้รับผิดไม่เกินกว่าจำนวนทรัพย์มรดกของนายนิพนธ์ พร้อมมูล ผู้ตาย ที่ตกทอดได้แก่ตน
โจทก์และจำเลยที่ 4 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 4 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้ทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาทต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่งจำเลยที่ 4 ฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายว่า อุบัติเหตุรถยนต์ชนกันครั้งนี้เกิดจากการที่นายนิพนธ์ พร้อมมูล ผู้ตายลูกจ้างของจำเลยที่ 4 ขับรถไปนอกเหนือทางการที่จ้างและคำสั่งของจำเลยที่ 4กรณีไม่เป็นเวลาและการกระทำที่เกี่ยวกับงานตามหน้าที่การงานของจำเลยที่ 4 จำเลยที่ 4 จึงไม่ต้องร่วมรับผิดในผลละเมิดที่ผู้ตายได้ก่อขึ้น ในการวินิจฉัยข้อกฎหมายดังกล่าว ศาลฎีกาจำต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยจากพยานหลักฐานในสำนวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 238 ประกอบด้วยมาตรา 247 ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า ผู้ตายได้ขับรถยนต์ซึ่งอยู่ในความครอบครองของจำเลยที่ 4 นำยุวเกษตรกรไปเข้าค่ายที่ศูนย์ฝึกอบรมการเกษตรแห่งชาติ ตามคำสั่งของผู้ว่าราชการจังหวัดซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชา เมื่อเสร็จงานแล้วผู้ตายขับรถนำยุวเกษตรกรเดินทางกลับจากนั้นได้ขับรถออกไปรับประทานอาหารต่อที่จังหวัดนครปฐมเป็นการส่วนตัวกับเพื่อนหลังจากรับประทานเสร็จผู้ตายได้ขับรถไปส่งนายศุภฤกษ์ ตันฑวิรุฬ เพื่อผู้ตายที่บ้านแล้วผู้ตายขับรถมุ่งหน้าไปอำเภอสามพรานโดยประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้รถชนกับรถบรรทุกที่โจทก์รับประกันภัยไว้ เห็นว่าแม้ว่าผู้ตายจะขับรถในความครอบครองของจำเลยที่ 4 นำยุวเกษตรกรเดินทางกลับเสร็จแล้วและหลังจากนั้นผู้ตายขับรถออกไปรับประทานอาหารจนเกิดเหตุอุบัติเหตุรถชนกับรถบรรทุกตอนขากลับแต่ผู้ตายยังต้องนำรถของทางราชการจำเลยที่ 4 ไปเก็บที่สำนักงานของจำเลยที่ 4 ตามหน้าที่ดังนั้นการขับรถของผู้ตายดังกล่าวยังเป็นเวลาและการกระทำต่อเนื่องเกี่ยวกับงานในหน้าที่ของผู้ตายซึ่งถือได้ว่าการกระทำของผู้ตายยังอยู่ในระหว่างปฏิบัติงานตามหน้าที่การงานของจำเลยที่ 4 จำเลยที่ 4 จึงต้องร่วมรับผิดในผลละเมิดที่ผู้ตายได้ก่อขึ้นต่อโจทก์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้วฎีกาของจำเลยที่ 4 ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share