แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
จำเลยนำดินเข้าไปเทไว้ในที่ดินของโจทก์ทั้งสอง แล้วใช้ รถแทรกเตอร์ดันกองดินเข้าไปในที่ดินของจำเลยซึ่งอยู่ติดกัน โดยดันเอากองหินและทรายของโจทก์ทั้งสองรวมไปด้วย เป็นการ กระทำโดยมีเจตนาเดียวคือดันกองเดินเข้าไปในที่ดินของจำเลย โดยไม่ปรากฎว่ามีเจตนาลักทรัพย์เกิดขึ้นก่อนเจตนาบุกรุกหรือ เกิดขึ้นใหม่หลังเกิดเจตนาบุกรุก เป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อ กฎหมายหลายบท การแยกฟ้องความผิดทั้งสองฐานเป็นสองข้อ แม้จำเลยให้การรับสารภาพก็หาทำให้เป็นความผิดหลายกรรมไม่ และเมื่อได้ความจากหนังสือสัญญาประนีประนอมยอมความว่า จำเลย ได้ชดใช้ราคาค่าหินค่าทรายให้แก่โจทก์ทั้งสองแล้ว การที่ จะยังบังคับให้จำเลยชดใช้อีก ย่อมไม่ชอบและเป็นปัญหา ข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ซึ่งแม้ จำเลยจะมิได้ฎีกาศาลฎีกาก็ยกขึ้นวินิจฉัยให้ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 335(1)(3)(7), 335 วรรคสอง, 336 ทวิ, 358, 365(2)(3),83, 84, 91 และให้จำเลยใช้หรือคืนราคาค่าหิน ค่าทราย รวมเป็นเงิน5,000 บาท ที่ยังไม่ได้คืนแก่โจทก์ทั้งสอง
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 335(1)(3)(7) วรรคสาม, 336 ทวิ, 358, 366 (ที่ถูกคือมาตรา 362), 365(2)(3) เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ลงโทษตาม มาตรา 336 ทวิ (ที่ถูกคือมาตรา 335(1)(3)(7)วรรคสาม, 336 ทวิ) ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด จำคุกจำเลย1 ปี 6 เดือน ปรับ 10,000 บาท จำเลยรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุกจำเลย 9 เดือน ปรับ 5,000 บาทโทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ 2 ปี ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาหินและทรายแก่โจทก์ทั้งสองเป็นเงิน 5,000 บาท
โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าให้ลงโทษจำเลยทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปฐานบุกรุกและทำให้เสียทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 358, 364 (ที่ถูกมาตรา 362), 365(2)(3) ให้ลงโทษตามมาตรา 365(2)(3) ประกอบมาตรา 364 (ที่ถูกมาตรา 362) ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 1 ปี6 เดือน ฐานลักทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335(1)(3)(7)วรรคสาม, 336 ทวิ จำคุก 1 ปี 6 เดือน รวมเป็นโทษจำคุก 3 ปีลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 1 ปี6 เดือน พฤติการณ์แห่งคดีไม่สมควรรอการลงโทษให้ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ฎีกาของจำเลยในส่วนที่กล่าวอ้างว่าไม่มีเจตนากระทำผิดนั้น เห็นว่า เป็นการฎีกาโต้เถียงเพื่อให้รับฟังข้อเท็จจริงผิดไปจากข้อเท็จจริงที่ได้ความตามคำรับสารภาพของจำเลย ซึ่งถือว่าเป็นข้อเท็จจริงที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้สำหรับข้อหาความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ ซึ่งเป็นความผิดต่อส่วนตัวหรือความผิดอันยอมความได้ข้อเท็จจริงที่โจทก์ทั้งสองมิได้โต้เถียงรับฟังได้จากหนังสือสัญญาประนีประนอมยอมความท้ายฎีกาของจำเลยว่าโจทก์ทั้งสองได้รับชดใช้ค่าเสียหายแล้วยอมสละสิทธิและไม่ประสงค์จะดำเนินคดีอาญาต่อจำเลยอีกต่อไปถือได้ว่าเป็นการยอมความกันโดยถูกต้องตามกฎหมาย สิทธินำคดีอาญาข้อหาความผิดดังกล่าวของโจทก์ทั้งสองมาฟ้องย่อมระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(2) คงมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า ข้อหาความผิดฐานบุกรุกและข้อหาความผิดฐานลักทรัพย์เป็นการกระทำกรรมเดียวกันหรือไม่พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงที่ได้ตามคำบรรยายฟ้องว่า จำเลยได้นำเดินเข้าไปเทไว้ในที่ดินของโจทก์ทั้งสอง แล้วจำเลยได้ใช้รถแทรกเตอร์ดันกองดินเข้าไปในที่ดินของจำเลยซึ่งอยู่ติดกันโดยดันเอากองหินและทรายของโจทก์ทั้งสองรวมไปด้วย เห็นว่าการกระทำของจำเลยเป็นการกระทำอันเดียวกันโดยมีเจตนาประการเดียว คือดันกองดินเข้าไปในที่ดินของจำเลย โดยไม่ปรากฎว่ามีเจตนาลักทรัพย์เกิดขึ้นก่อนเจตนาบุกรุก หรือเกิดขึ้นใหม่หลังเกิดเจตนาบุกรุก จึงเป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทการแยกฟ้องข้อหาความผิดสองฐานดังกล่าวเป็นสองข้อ แม้จำเลยให้การรับสารภาพก็หาทำให้เป็นความผิดหลายกรรมดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยไม่ ฎีกาส่วนนี้ของจำเลยฟังขึ้น จึงให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335(1)(3)(7) วรรคสาม, 336 ทวิซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดจำคุก 1 ปี 6 เดือน และปรับ10,000 บาท จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ลดโทษให้กึ่งหนึ่งจำคุก 9 เดือนและปรับ 5,000 บาท จำเลยไม่เคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน และได้ชดใช้ค่าเสียหายจนโจทก์ทั้งสองไม่ประสงค์จะดำเนินคดีต่อจำเลย มีเหตุสมควรรอการลงโทษจำคุกให้ตามฎีกาของจำเลย โดยให้รอการลงโทษจำคุกไว้ 2 ปี ส่วนที่ศาลล่างทั้งสองบังคับให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาหินและทรายแก่โจทก์ทั้งสองเป็นเงิน 5,000 บาท นั้น เมื่อข้อเท็จจริงได้ความจากหนังสือสัญญาประนีประนอมยอมความว่า จำเลยได้ชดใช้ค่าเสียหายส่วนนี้ให้แก่โจทก์ทั้งสองแล้ว การที่จะยังบังคับให้จำเลยชดใช้อีกย่อมเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย อันเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ซึ่งแม้จำเลยจะมิได้ฎีกาในข้อนี้ศาลฎีกาก็ชอบที่จะยกขึ้นวินิจฉัยให้ได้ จึงให้ยกคำขอส่วนนี้ของโจทก์ทั้งสองเสีย”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำคุกจำเลย 9 เดือนและปรับ 5,000 บาทโทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ 2 ปี ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 จำหน่ายคดีข้อหาความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์จากสารบบความของศาลฎีกา และยกคำขอให้คืนหรือใช้ราคาหินและทรายแก่โจทก์ทั้งสอง นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์