คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5810/2539

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ค่าธรรมเนียมเจ้าพนักงานบังคับคดีเมื่อยึดทรัพย์สินซึ่งมิใช่ตัวเงินแล้วไม่มีการขายหรือจำหน่ายตามตาราง 5(3) ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งเป็นค่าฤชาธรรมเนียมอย่างหนึ่งซึ่งคู่ความฝ่ายที่แพ้คดีจะต้องรับผิดในชั้นที่สุด

ย่อยาว

กรณีสืบเนื่องมาจากศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้จำเลยจดทะเบียนโอนขายที่ดิน น.ส.3 ก. เลขที่ 1222 ตำบลบ้านป่าอำเภอแก่งคอย จังหวัดสระบุรี ให้แก่โจทก์ในราคา 67,400 บาทโดยหักเงินที่จำเลยรับไปจากโจทก์ออก 61,000 บาท ให้รับเงินจากโจทก์อีก 6,400 บาท ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นเงิน 40,000 บาทเมื่อหักกลบลบกับราคาที่ดินที่ค้างอยู่คงเหลือค่าเสียหาย 33,600 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีในต้นเงินดังกล่าวตั้งแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ ถ้าจำเลยขัดขืนให้เรียกเอา น.ส.3 ก. จากจำเลยเพื่อดำเนินการ ให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลย คดีถึงที่สุดแล้ว จำเลยไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษา โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดิน น.ส. 3 เลขที่ 192 ตำบลบ้านป่าอำเภอแก่งคอย จังหวัดสระบุรีที่จำเลยนำมาวางประกันการชำระหนี้ชั้นอุทธรณ์ออกขายทอดตลาด จำเลยขอวางเงินชำระหนี้เพื่อไม่ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีขายทอดตลาดที่ดินกับขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีถอนการยึดและขอให้ศาลคืนหนังสือรับรองการทำประโยชน์แก่จำเลย
โจทก์ยื่นคำแถลงต่อศาลชั้นต้นขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีเรียกค่าธรรมเนียมถอนการยึดอัตราร้อยละ 3.5 ของราคาประเมินจากจำเลยเป็นเงิน 12,600 บาท ส่วนที่ดินตาม น.ส. 3 ก. เลขที่ 1222 เอกสารหมาย จ.23 เป็นที่ดินพิพาทที่โจทก์มีสิทธิได้รับโอนจากจำเลยตามผลของคดี จำเลยไม่มีสิทธิขอคืนจากศาลได้
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ค่าธรรมเนียมยึดทรัพย์ตามตาราง 5(3)ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งเป็นค่าธรรมเนียมภายหลังที่ศาลชั้นต้นพิพากษาหาใช่ค่าฤชาธรรมเนียมที่ศาลพิพากษาให้จำเลยใช้แทนโจทก์ซึ่งเป็นค่าฤชาธรรมเนียมก่อนมีคำพิพากษาโจทก์จึงต้องเสียค่าธรรมเนียมยึดทรัพย์แล้วไม่มีการขายเองตามนัยคำพิพากษาของศาลฎีกาที่ 702/2522, 939/2526 ส่วน น.ส.3 ที่จำเลยขอรับไปศาลจะพิจารณาสั่งเมื่อมีการถอนการยึดทรัพย์แล้ว
โจทก์อุทธรณ์คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่าโจทก์หรือจำเลยต้องรับผิดชำระค่าธรรมเนียม เจ้าพนักงานบังคับคดีเมื่อยึดทรัพย์สินซึ่งมิใช่ตัวเงินแล้วไม่มีการขายหรือจำหน่ายตามตาราง 5(3) ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง เห็นว่าตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 161 วรรคแรกบัญญัติว่าความรับผิดชั้นที่สุดสำหรับค่าฤชาธรรมเนียมของคู่ความในคดีย่อมตกแก่คู่ความฝ่ายที่แพ้คดี และวรรคสองบัญญัติว่าค่าฤชาธรรมเนียมนั้นให้รวมถึงค่าธรรมเนียมในการบังคับคดีด้วยดังนั้น ค่าธรรมเนียมเจ้าพนักงานบังคับคดีเมื่อยึดทรัพย์สินซึ่งมิใช่ตัวเงินแล้วไม่มีการขายหรือจำหน่ายตามตาราง 5(3) ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งจึงเป็นค่าฤชาธรรมเนียมอย่างหนึ่งซึ่งคู่ความฝ่ายที่แพ้คดีจะต้องรับผิดในชั้นที่สุด คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยจะทะเบียนโอนขายที่ดิน น.ส.3 ก. เลขที่ 1222ตำบลบ้านป่า อำเภอแก่งคอย จังหวัดสระบุรี ให้แก่โจทก์ในราคา67,400 บาท โดยหักเงินที่จำเลยรับไปจากโจทก์ 61,000 บาท ให้รับเงินจากโจทก์อีก 6,400 บาท ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นเงิน 40,000 บาท เมื่อหักกลบกับราคาที่ดินที่ยังค้างอยู่ คงเหลือค่าเสียหาย 33,600 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีในต้นเงินดังกล่าวตั้งแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ ถ้าจำเลยขัดขืนให้เรียกเอา น.ส.3 ก. จากจำเลยเพื่อดำเนินการ ให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงของจำเลย กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 2,500 บาท ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืนให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์แทนโจทก์ 1,500 บาท คดีถึงที่สุด จำเลยจึงเป็นฝ่ายแพ้คดี ในชั้นบังคับคดีเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ยึดที่ดิน น.ส.3 เลขที่ 192 ที่จำเลยนำมาวางประกันการชำระหนี้ชั้นอุทธรณ์ของจำเลยไว้ ต่อมาจำเลยขอวางเงินชำระหนี้เพื่อไม่ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีขายทอดตลาดที่ดิน เช่นนี้ จำเลยซึ่งเป็นฝ่ายแพ้คดีต้องรับผิดชำระค่าฤชาธรรมเนียมในการบังคับคดีเมื่อยึดทรัพย์สินซึ่งมิใช่เป็นตัวเงินแล้วไม่มีการขายหรือจำหน่ายตามบทกฎหมายดังกล่าวคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 2 ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วยฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น”
พิพากษากลับว่า ให้เรียกค่าฤชาธรรมเนียมในการบังคับคดีตามตาราง 5(3) ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งจากจำเลย

Share