คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5133/2539

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกระทำละเมิด ทำลายและปิดกั้นทางสาธารณประโยชน์ ทำให้โจทก์ไม่สามารถใช้ ทางสาธารณะดังกล่าวเข้าไปทำไร่อ้อยในที่ดินของโจทก์ได้ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายเป็นเงินจำนวน 50,000 บาท ท้ายฟ้องโจทก์ขอให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหาย แก่โจทก์เป็นเงินจำนวน 50,000 บาท จึงเป็นคดี มีทุนทรัพย์ การที่ศาลชั้นต้นพิจารณาประเด็นข้อพิพาทว่า จำเลยปิดกั้นและทำลายทางสาธารณประโยชน์ เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหายหรือไม่ การพิจารณาว่ามีทางสาธารณประโยชน์อยู่ตามฟ้อง หรือไม่ ก็เพื่อวินิจฉัยข้ออ้างอันจะนำไปสู่ข้อหาของโจทก์ ที่ว่า จำเลยกระทำการละเมิดต่อโจทก์หรือไม่เท่านั้น ดังนี้ โจทก์หาได้ฟ้องขอให้มีการปลดเปลื้องทุกข์ของโจทก์ในการใช้ทางพิพาทไม่เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้เงินจำนวน 20,000 บาทแก่โจทก์ จำเลยอุทธรณ์ว่า ไม่มีทางสาธารณประโยชน์ตามที่โจทก์ กล่าวอ้าง อันเป็นการอุทธรณ์ปัญหาข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามอุทธรณ์ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 วรรคหนึ่ง คดีนี้เป็นคดีมีทุนทรัพย์ ซึ่งต้องห้ามมิให้คู่ความอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงการที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า เป็นคดีที่ฟ้องขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวน เป็นราคาเงินได้ แล้วพิจารณาพิพากษาคดีไปตามอุทธรณ์ ของจำเลยไปเป็นการไม่ชอบและเมื่ออุทธรณ์ของจำเลย เป็นอุทธรณ์ที่ต้องห้ามตามกฎหมายแล้ว ต้องถือว่า ข้อเท็จจริงเป็นอันยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้ว จำเลยจึงไม่มีสิทธิฎีกา การที่ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกา ของจำเลยมานั้น จึงไม่ชอบเช่นกัน ศาลฎีกาไม่รับ วินิจฉัยให้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เนื้อที่ 10 ไร่ 3 งาน10 ตารางวา โดยปลูกอ้อยเป็นประจำทุกปีมีรายได้ปีละไม่ต่ำกว่า50,000 บาท การทำไร่อ้อยจะต้องใช้ทางสาธารณะผ่านเข้าออกไร่อ้อยของโจทก์ด้วย ต่อมาจำเลยได้ทำลายและปิดกั้นทางสาธารณะเสีย ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายไม่สามารถเข้าไปทำไร่อ้อยได้ขอให้บังคับจำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นเงิน 50,000 บาท
จำเลยให้การว่า ที่ดินของจำเลยไม่มีทางสาธารณะจำเลยใช้ปลูกอ้อยและพืชผัก โจทก์สามารถเข้าออกที่ดินของโจทก์ทางด้านทิศตะวันตกของที่ดินของโจทก์ได้ และปัจจุบันโจทก์ก็ใช้เส้นทางดังกล่าวออกไปสู่ทางสาธารณประโยชน์ ที่ดินของโจทก์ไม่เหมาะสำหรับปลูกอ้อยและมีเนื้อที่เพียง 10 ไร่เศษหากใช้ทำไร่อ้อยรายได้ของโจทก์สุทธิต่อปีประมาณ 6,000-8,000 บาท ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้เงิน 20,000 บาท แก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยฐานละเมิดโดยจำเลยกระทำการทำลายและปิดกั้นทางสาธารณประโยชน์ทำให้โจทก์ไม่สามารถใช้ทางสาธารณะดังกล่าวเข้าไปทำไร่อ้อยในที่ดินของโจทก์ได้ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายเป็นเงินจำนวน 50,000 บาท ท้ายฟ้องโจทก์ขอให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นเงินจำนวน 50,000 บาท จึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์ การที่ศาลชั้นต้นพิจารณาประเด็นข้อพิพาทว่า จำเลยปิดกั้นและทำลายทางสาธารณประโยชน์ เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหายหรือไม่ ซึ่งจะต้องมีการพิจารณาว่ามีทางสาธารณประโยชน์อยู่ตามฟ้องหรือไม่นั้น ก็เพื่อวินิจฉัยข้ออ้างอันจะนำไปสู่ข้อหาของโจทก์ที่ว่า จำเลยกระทำการละเมิดต่อโจทก์หรือไม่เท่านั้น โจทก์หาได้ฟ้องขอให้มีการปลดเปลื้องทุกข์ของโจทก์ในการใช้ทางพิพาทแต่ประการใด เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้เงินจำนวน 20,000 บาท แก่โจทก์ จำเลยอุทธรณ์ว่าไม่มีทางสาธารณประโยชน์ตามที่โจทก์กล่าวอ้างอันเป็นการอุทธรณ์ปัญหาข้อเท็จจริงจึงต้องห้ามอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 วรรคหนึ่ง การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยว่าเป็นคดีที่ฟ้องขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวนเป็นราคาเงินได้ แล้วมีคำสั่งให้รับอุทธรณ์ และพิจารณาพิพากษาคดีไปตามอุทธรณ์ของจำเลยนั้นเป็นการไม่ชอบ เมื่ออุทธรณ์ของจำเลยเป็นอุทธรณ์ที่ต้องห้ามตามกฎหมายแล้ว ต้องถือว่าข้อเท็จจริงยุติไปแล้วตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นจำเลยจึงไม่มีสิทธิฎีกา การที่ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของจำเลยมานั้น จึงไม่ชอบเช่นกันศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 และยกฎีกาของจำเลยคืนค่าขึ้นศาลทั้งหมดในชั้นฎีกาให้แก่จำเลย

Share