คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 539/2545

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

สำเนาคำสั่งศาลชั้นต้นและหนังสือรับรองคดีถึงที่สุดซึ่งจำเลยแนบท้ายคำแก้ฎีกา แม้จำเลยจะมิได้ยื่นบัญชีระบุพยานและมิได้ส่งสำเนาเอกสารแก่โจทก์ แต่เอกสารดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานอันสำคัญซึ่งเกี่ยวกับประเด็นข้อสำคัญในคดีจำเป็นจะต้องสืบพยานหลักฐานเช่นว่านั้น เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ศาลฎีกามีอำนาจรับฟังเอกสารท้ายคำแก้ฎีกานั้นได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 87 (2) และเอกสารดังกล่าวแม้เป็นเพียงสำเนาเอกสาร แต่เมื่อมีรองจ่าศาลรับรองความถูกต้องแห่งเอกสารนั้นจึงฟังได้ว่าเป็นของแท้จริงและถูกต้องตาม ป.วิ.พ. มาตรา 127
โจทก์ซื้อที่ดินพิพาทจากการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาลแม้จะได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย แต่เมื่อศาลได้มีคำสั่งถึงที่สุดให้เพิกถอนการขายทอดตลาดดังกล่าวแล้ว ผลของคำสั่งเท่ากับว่าไม่มีการขายทอดตลาดมาแต่แรก โจทก์ผู้ซื้อทรัพย์จากการขายทอดตลาดจึงไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากที่ดินและ บ้านพิพาทของโจทก์ ห้ามเกี่ยวข้องอีกต่อไป และให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าเสียหายในอัตราเดือนละ ๒๐,๐๐๐ บาท นับจากวันฟ้องจนกว่าจำเลยทั้งสองจะขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากที่ดินและบ้านพิพาท
จำเลยที่ ๑ ให้การว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมเพราะมิได้บรรยายให้แจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหา และข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหา โจทก์ไม่ได้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๒๔๙๔๗ และบ้านเลขที่ ๑๙/๒๓๙ จึงไม่มี อำนาจฟ้องและไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหายจากจำเลยที่ ๑ ค่าเสียหายสูงเกินความจริงเนื่องจากหากนำที่ดินและบ้านพิพาทไปหาผลประโยชน์จะได้ไม่เกินเดือนละ ๕,๐๐๐ บาท ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๒ ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยทั้งสองขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกจากที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๒๔๙๔๗ และบ้านเลขที่ ๑๙/๒๓๙ และให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ในอัตราเดือนละ ๕,๐๐๐ บาท นับจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ ๗ มกราคม ๒๕๔๑) จนกว่าจำเลยทั้งสองจะขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกจากที่ดินและบ้านพิพาทดังกล่าว
จำเลยที่ ๑ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาต้องวินิจฉัยมีว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหายจากจำเลยทั้งสองหรือไม่ ความปรากฏจากคำแก้ฎีกาและเอกสารท้ายคำแก้ฎีกาของจำเลยที่ ๑ ว่า ศาลจังหวัดทุ่งสงได้มีคำสั่งเมื่อวันที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๔๒ ให้เพิกถอนการขายทอดตลาดที่ดินและบ้านพิพาท ตามสำเนาคำสั่งศาลจังหวัดทุ่งสงเอกสารท้ายคำแก้ฎีกา หมายเลข ๑ และคำสั่งดังกล่าวถึงที่สุดแล้ว ตามหนังสือรับรองเอกสารท้ายคำแก้ฎีกาหมายเลข ๒ แม้เอกสารท้าย คำแก้ฎีกาทั้งสองฉบับ จำเลยที่ ๑ จะมิได้ยื่นบัญชีระบุพยานและมิได้ส่งสำเนาเอกสารแก่โจทก์ แต่เอกสารทั้งสองฉบับนั้น เป็นพยานหลักฐานอันสำคัญซึ่งเกี่ยวกับประเด็นข้อสำคัญในคดีจำเป็นจะต้องสืบพยานหลักฐานเช่นว่านั้น เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ศาลฎีกามีอำนาจรับฟังเอกสารท้ายคำแก้ฎีกาทั้งสองฉบับนั้นได้ ตามประมวลกฎหมาย วิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๘๗ (๒) และแม้เอกสารของจำเลยที่ ๑ จะเป็นเพียงสำเนาเอกสาร แต่เมื่อมีรองจ่าศาล จังหวัดทุ่งสงรับรองความถูกต้องแห่งเอกสารนั้น จึงฟังได้ว่า เป็นของแท้จริงและถูกต้อง ตามประมวลกฎหมาย วิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๒๗ เห็นว่า แม้การซื้อทรัพย์สินจากการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาลจะได้รับความ คุ้มครองตามกฎหมาย แต่เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าศาลได้มีคำสั่งให้เพิกถอนการขายทอดตลาดดังกล่าวแล้ว ผลของคำสั่งเท่ากับว่าไม่มีการขายทอดตลาดมาแต่แรก โจทก์ไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินและบ้านพิพาท โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหายจากจำเลยทั้งสอง ปัญหาดังกล่าวแม้จำเลยที่ ๑ จะมิได้ยกขึ้นว่ากล่าวในศาลล่าง แต่เรื่องอำนาจฟ้องเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน จำเลยที่ ๑ จึงยกขึ้นว่ากล่าว ในชั้นฎีกาได้ ส่วนปัญหาตามที่โจทก์ฎีกาไม่จำต้องวินิจฉัยเพราะไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลง ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษา ยกฟ้องมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล
พิพากษายืน.
(วิบูลย์ มีอาสา – ศุภชัย ภู่งาม – วีระศักดิ์ รุ่งรัตน์)

Share