แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
โจทก์ออกจากบ้านที่อยู่กินกับจำเลยเพราะต้องการพาบิดาโจทก์ซึ่งเป็นโรคหัวใจไปให้พ้นจากบิดาจำเลยซึ่งชอบดื่มสุราแล้วส่งเสียงดัง และโจทก์และจำเลยตกลงจะไปจดทะเบียนหย่าขาดจากกัน แต่หย่าไม่ได้เพราะโจทก์ไม่มีเงินชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรแก่จำเลย แสดงว่าโจทก์และจำเลยสมัครใจแยกกันอยู่เพราะเหตุที่ไม่อาจอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยาได้โดยปกติสุขตลอดมา และเป็นเวลานับถึงวันฟ้องเกินสามปีแล้ว โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องหย่าได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1516(4/2) จำเลยซึ่งเป็นภริยาจะเรียกค่าเลี้ยงชีพตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1526 จากโจทก์ได้จะต้องปรากฏว่าเหตุแห่งการหย่าเป็นความผิดของโจทก์แต่ฝ่ายเดียวเมื่อเหตุแห่งการหย่าเป็นเพราะโจทก์และจำเลยสมัครใจแยกกันอยู่เพราะเหตุที่ไม่อาจอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยาได้โดยปกติสุขตลอดมาเกินสามปีจำเลยจึงเรียกค่าเลี้ยงชีพจากโจทก์ไม่ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์จำเลยเป็นสามีภริยากัน จดทะเบียนสมรสเมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2512 ณ สำนักทะเบียนอำเภอเมืองสมุทรปราการต่อมาปี 2516 โจทก์และจำเลยมีปัญหาโต้เถียงกันอย่างรุนแรงไม่สามารถที่จะตกลงอยู่ร่วมกันได้อย่างปกติสุขจึงแยกกันอยู่ตั้งแต่นั้นมาจนถึงบัดนี้เป็นเวลา 20 ปี โจทก์ไม่ประสงค์จะอยู่กินฉันสามีภริยากับจำเลยอีกต่อไป ขอให้พิพากษาให้โจทก์และจำเลยหย่าขาดกันโดยให้จำเลยไปจดทะเบียนหย่ากับโจทก์
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า จดทะเบียนสมรสกันแล้วโจทก์และจำเลยพักอาศัยอยู่ที่บ้านบิดามารดาโจทก์ ต่อมาจึงย้ายไปอยู่ที่บ้านมารดาจำเลย เมื่อ 7 ถึง 8 ปี ผ่านมา จำเลยปลูกบ้านเลขที่ 489 หมู่ที่ 2 ตำบลบางปูใหม่อำเภอเมืองสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรปราการ โจทก์จำเลยและบุตรทั้ง 5 ย้ายมาอยู่ที่บ้านหลังใหม่ จนกระทั่งประมาณ 4 ถึง 5 ปีมานี้ โจทก์ประพฤติมิชอบให้การอุปการะเลี้ยงดูหญิงอื่นฉันภริยาแต่โจทก์ก็ยังไปมาหาสู่จำเลยและให้ความอุปการะเลี้ยงดูจำเลยเรื่อยมาจนกระทั่งก่อนฟ้องคดีนี้โจทก์ไม่ได้ส่งเสียเลี้ยงดูจำเลยทำให้จำเลยและครอบครัวได้รับความเดือดร้อนมาก เหตุในการหย่ามิใช่ความผิดของจำเลยเป็นความผิดของโจทก์แต่ผู้เดียว จำเลยมีโรคประจำตัว ข้อเท้าเสื่อมไม่ได้ประกอบอาชีพ และโจทก์มีรายได้สูงมาก ขอให้ยกฟ้องโจทก์และให้โจทก์จ่ายค่าเลี้ยงชีพแก่จำเลยเดือนละ 10,000 บาท นับแต่วันฟ้องแย้งเป็นต้นไป
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า เหตุที่โจทก์และจำเลยโต้เถียงกันเพราะเดิมโจทก์ นายตาบ ก้อนทรัพย์ บิดาโจทก์มาพักอาศัยรวมอยู่กับโจทก์และจำเลยในบ้านซึ่งจำเลยนำเงินของโจทก์ไปปลูกในที่ดินของบิดามารดาจำเลย แต่การอยู่ร่วมกันดังกล่าวไม่มีความสงบสุขเนื่องจากบิดาโจทก์อายุมากแล้วมีโรคประจำตัวคือโรคหัวใจ ส่วนบิดาของจำเลยชอบดื่มสุราเป็นประจำส่งเสียงดังโวยวายพูดดูถูกบิดาโจทก์ จึงเป็นเหตุให้โจทก์และจำเลยโต้เถียงกันเรื่อยมา โจทก์และบิดาจึงย้ายไปอยู่ที่บ้านของโจทก์ที่ตำบลบางด้วน อำเภอเมืองสมุทรปราการ และแม้โจทก์ไม่ได้อยู่กินกับจำเลยแต่โจทก์ได้ส่งเสียเลี้ยงดูจำเลยและครอบครัวเรื่อยมา จำเลยไม่มีสิทธิรับเงินค่าเลี้ยงชีพเดือนละ10,000 บาท จากโจทก์ เพราะเมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2536โจทก์จดทะเบียนยกกรรมสิทธิ์ที่ดินบุตรโจทก์ทุกคน แต่จำเลยกลับนำที่ดินแปลงดังกล่าวไปจดทะเบียนจำนองและไปจดทะเบียนขายให้แก่ผู้ซื้อเป็นเงิน 920,000 บาท โดยจำเลยเป็นผู้รับเงินจากการขายเพียงผู้เดียว จำเลยจึงมิได้รับความเดือดร้อนและจำเลยเป็นผู้กระทำผิดวัตถุประสงค์ที่โจทก์ให้จำเลยถือครองที่ดินแทนบุตร จำเลยจึงไม่สมควรได้รับค่าเลี้ยงชีพจากโจทก์ ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์จำเลยหย่ากัน ให้ยกฟ้องแย้ง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้โจทก์จ่ายค่าเลี้ยงชีพให้แก่จำเลยเดือนละ 5,000 บาท นับแต่วันฟ้องแย้งเป็นต้นไปนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์และจำเลยจดทะเบียนสมรสเมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน2512 อยู่กินกันที่บ้านเลขที่ 19 หมู่ที่ 19 หมู่ที่ 6ตำบลบางด้วน อำเภอเมืองสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรปราการต่อมาโจทก์และจำเลยย้ายไปอยู่ตำบลบางปูใหม่อำเภอเมืองสมุทรปราการ ประมาณปี 2516 ถึง 2519 โจทก์ออกจากบ้านกลับไปอยู่ที่บ้านเลขที่ 19 หมู่ที่ 6 ตำบลบางด้วนอำเภอเมืองสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรปราการ เนื่องจากทะเลาะวิวาทกับจำเลย ต่อมาประมาณปี 2520 โจทก์และจำเลยตกลงไปจดทะเบียนหย่าที่อำเภอ แต่เนื่องจากโจทก์ไม่มีเงินชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรคนละ 25,000 บาท แก่จำเลยตามที่ทางอำเภอไกล่เกลี่ยจึงไม่ได้จดทะเบียนหย่า คดีมีปัญหาตามฎีกาของโจทก์ ประการแรกว่าโจทก์และจำเลยสมัครใจแยกกันอยู่เพราะเหตุที่ไม่อาจอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยาได้โดยปกติสุขตลอดมาเกินสามปีหรือไม่ โจทก์มีตัวโจทก์เป็นพยานเบิกความว่า โจทก์มอบเงินให้จำเลยนำไปปลูกสร้างบ้านในที่ดินบิดาจำเลยที่ตำบลบางปูใหม่เมื่อปลูกสร้างเสร็จโจทก์ จำเลยและบิดาโจทก์เข้าพักอาศัยบ้านที่ปลูกสร้างใหม่นี้อยู่ติดกับบ้านบิดาจำเลย บิดาจำเลยชอบดื่มสุราเมาอาละวาด โจทก์พยายามตักเตือนและห้ามปราม แต่บิดาจำเลยไม่เชื่อฟัง ในที่สุดโจทก์จึงนำบิดาโจทก์ซึ่งเป็นโรคหัวใจกลับไปอยู่บ้านเดิมที่ตำบลบางด้วนตั้งแต่ปี 2516 จำเลยไม่ได้ตามไปด้วยส่วนจำเลยมีตัวจำเลยเป็นพยานเบิกความว่าเมื่อประมาณปี 2519 โจทก์เริ่มติดพันหญิงอื่นและไม่ค่อยกลับบ้านในที่สุดโจทก์ออกจากบ้านที่อยู่กินกับจำเลยไป และจำเลยตอบทนายโจทก์ถามค้านว่า บิดาโจทก์ช่วยออกเงินปลูกสร้างบ้านใหม่และมาอยู่ด้วยไม่ถึงปีก็กลับไปอยู่บ้านเดิมที่ตำบลบางด้วน บิดาจำเลยดื่มสุราเป็นประจำแล้วชอบส่งเสียงดัง แต่ไม่เคยมีเรื่องกับใครเมื่อจำเลยกับโจทก์ทะเลาะวิวาทกันบ่อยครั้งจึงตกลงที่จะไปจดทะเบียนหย่า ศาลฎีกาเห็นว่า พยานจำเลยเจือสมพยานโจทก์ว่าโจทก์ออกจากบ้านที่ปลูกสร้างและอยู่กินกับจำเลยเพราะต้องการพาบิดาซึ่งเป็นโรคหัวใจไปให้พ้นบิดาจำเลยซึ่งชอบดื่มสุราแล้วส่งเสียงดัง ได้ความต่อไปว่าโจทก์และจำเลยตกลงจะไปจดทะเบียนหย่าขาดจากกัน แต่หย่าไม่ได้เพราะโจทก์ไม่มีเงินชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรแก่จำเลย พฤติการณ์ดังกล่าวน่าเชื่อว่าโจทก์และจำเลยสมัครใจแยกกันอยู่เพราะเหตุที่ไม่อาจอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยาได้โดยปกติสุขตลอดมา และการแยกกันอยู่ดังกล่าวเป็นเวลานับถึงวันฟ้องเกินสามปีแล้ว โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องหย่าได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1516(4/2) ฎีกาข้อนี้ของโจทก์ฟังขึ้น
คดีมีปัญหาตามฎีกาของโจทก์ประการสุดท้ายว่า จำเลยสมควรได้รับค่าเลี้ยงชีพจากโจทก์หรือไม่ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1526 บัญญัติว่า ในคดีหย่า ถ้าเหตุแห่งการหย่าเป็นความผิดของคู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแต่ฝ่ายเดียวและการหย่านั้นจะทำให้อีกฝ่ายหนึ่งยากจนลง เพราะไม่มีรายได้พอจากทรัพย์สินหรือจากการงานตามที่เคยทำอยู่ระหว่างสมรสอีกฝ่ายหนึ่งนั้นจะขอให้ฝ่ายที่ต้องรับผิดจ่ายค่าเลี้ยงชีพให้ได้ ศาลฎีกาเห็นว่าจำเลยจะเรียกค่าเลี้ยงชีพได้จะต้องปรากฏว่าเหตุแห่งการหย่าเป็นความผิดของโจทก์แต่ฝ่ายเดียว ดังนี้ เมื่อฟังได้ว่าเหตุแห่งการหย่าเป็นเพราะโจทก์และจำเลยสมัครใจแยกกันอยู่เพราะเหตุที่ไม่อาจอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยาได้โดยปกติสุขตลอดมาเกินสามปี จำเลยจึงเรียกค่าเลี้ยงชีพจากโจทก์มิได้ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษามานั้นศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น