คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4446/2539

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

หนังสือมอบอำนาจให้ฟ้องคดีไม่จำต้องระบุบุคคลที่ต้องถูกฟ้องโดยเฉพาะเจาะจงว่าเป็นจำเลยหรือผู้ใดแม้หนังสือมอบอำนาจจะไม่ได้ระบุว่ามอบอำนาจให้ฟ้องจำเลยแต่ก็มีข้อความระบุไว้แล้วว่าโจทก์มอบอำนาจให้ พ.เป็นโจทก์ฟ้องคดีต่อศาลในทางแพ่ง เพื่อเรียกร้องทวงคืนซึ่งทรัพย์สิน รวมทั้งการบังคับจำนองแทนและในนามของโจทก์ ฉะนั้น พ. จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยแทนโจทก์ได้ โจทก์มีหนังสือบอกกล่าวให้จำเลยชำระหนี้และไถ่ถอนจำนองภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือบอกกล่าวโดยจำเลยรับหนังสือบอกกล่าวเมื่อวันที่ 23 กันยายน 2535และโจทก์ฟ้องวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2536 ถือว่าโจทก์บอกกล่าวเป็นเวลาอันสมควรแล้ว เพราะหนี้ดังกล่าวเกิดจากสัญญาเบิกเงินเกินบัญชี ซึ่งโจทก์และจำเลยต้องหักทอนบัญชีกันตามระยะเวลาจำเลยย่อมทราบดีอยู่แล้วว่าเป็นหนี้โจทก์อยู่จำนวนเท่าใด ประกอบกับโจทก์ยื่นฟ้องหลังจากจำเลยได้รับหนังสือบอกกล่าวเป็นเวลา 4 เดือนเศษ ดังนั้นการบอกกล่าวบังคับจำนองของโจทก์จึงชอบแล้ว

ย่อยาว

โจทก์มอบอำนาจให้นายพัฒน์ ตรงคมาลี ฟ้องคดีนี้ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน1,402,940 บาท ให้แก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ16.5 ต่อปี ในต้นเงิน 1,307,210 บาท นับตั้งแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ หากจำเลยทั้งสองไม่ชำระก็ขอให้ยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 24100, 24101, 24102, 24103,24204 และ 29534 ตำบลทับเที่ยง อำเภอเมืองตรังจังหวัดตรัง พร้อมสิ่งปลูกสร้างออกขายทอดตลาด หากได้เงินไม่พอชำระหนี้ก็ขอให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสองออกชำระหนี้จนครบถ้วน
จำเลยทั้งสองให้การว่า ผู้มอบอำนาจมิได้มีการมอบอำนาจให้ฟ้องคดีนี้ การบอกกล่าวบังคับจำนองไม่ชอบด้วยกฎหมายเพราะโจทก์มิได้บอกกล่าวด้วยตนเอง หากแต่ทนายความเป็นผู้บอกกล่าวบังคับจำนองโดยกำหนดให้จำเลยทั้งสองชำระหนี้ภายใน 30 วัน ถือได้ว่ามิได้กำหนดเวลาอันสมควรให้จำเลยทั้งสองชำระหนี้ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 1,086,838.69 บาท ให้แก่โจทก์ พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 16.5 ต่อปี ในต้นเงินดังกล่าว นับตั้งแต่วันที่ 23 มีนาคม 2534 เป็นต้นไปจนกว่าชำระเสร็จหากจำเลยทั้งสองไม่ชำระก็ให้โจทก์ยึดทรัพย์สินโฉนดที่ดินเลขที่ 24100, 24101, 24102, 24103, 24104 และ29534 ตำบลทับเที่ยง อำเภอเมืองตรัง จังหวัดตรังพร้อมสิ่งปลูกสร้างออกขายทอดตลาดหากได้เงินจากการขายทอดตลาดไม่พอชำระหนี้ก็ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสองออกขายทอดตลาดชำระหนี้ให้โจทก์จนครบถ้วน
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “จำเลยทั้งสองฎีกาต่อไปว่าหนังสือมอบอำนาจเอกสารหมาย จ.9 มิได้ระบุว่าให้ฟ้องจำเลยทั้งสองโดยเฉพาะ และฟ้องจำเลยทั้งสองต่อศาลใดเป็นการมอบอำนาจทั่วไป ผู้รับมอบอำนาจไม่อาจยื่นฟ้องจำเลยทั้งสองต่อศาลได้ เห็นว่า หนังสือมอบอำนาจให้ฟ้องคดีไม่จำต้องระบุบุคคลที่ต้องถูกฟ้องโดยเฉพาะเจาะจงว่าเป็นจำเลยทั้งสองหรือผู้ใด แม้หนังสือมอบอำนาจเอกสารหมายจ.9 จะไม่ได้ระบุว่ามอบอำนาจให้ฟ้องจำเลยทั้งสอง แต่ก็มีข้อความระบุไว้แล้วว่าโจทก์มอบอำนาจให้นายพัฒน์ ตรงคมาลีเป็นโจทก์ฟ้องคดีต่อศาลในทางแพ่ง เพื่อเรียกร้องทวงคืนซึ่งทรัพย์สิน ฯลฯ รวมทั้งการบังคับจำนองแทนและในนามของโจทก์ ฉะนั้น นายพัฒน์จึงมีอำนาจฟ้องคดีจำเลยทั้งสองแทนโจทก์ได้ ฎีกาจำเลยทั้งสองข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
จำเลยทั้งสองฎีกาข้อสุดท้ายว่า การที่โจทก์บอกกล่าวให้จำเลยทั้งสองชำระหนี้ให้เสร็จสิ้นภายใน 30 วันเป็นการบอกกล่าวที่มิได้กำหนดเวลาอันสมควรตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 728 การบอกกล่าวบังคับจำนองของโจทก์จึงไม่ชอบ เพราะหนี้ของจำเลยทั้งสองในคดีนี้มีอยู่ถึง 1,000,000 บาทเศษ ในปัญหานี้ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติตามที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยโดยจำเลยทั้งสองมิได้โต้แย้งว่า โจทก์มีหนังสือบอกกล่าวให้จำเลยทั้งสองชำระหนี้และไถ่ถอนจำนองภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือบอกกล่าว โดยจำเลยที่ 1 เป็นผู้รับหนังสือบอกกล่าวเมื่อวันที่ 23 กันยายน 2535 และโจทก์ฟ้องคดีนี้ในวันที่16 กุมภาพันธ์ 2536 เห็นว่า โจทก์บอกกล่าวให้จำเลยทั้งสองชำระหนี้และไถ่ถอนจำนองภายในเวลาอันสมควรแล้วเพราะหนี้ดังกล่าวเกิดจากสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีตามบัญชีเดินสะพัด ซึ่งโจทก์และจำเลยทั้งสองต้องหักทอนบัญชีกันตามระยะเวลา ฉะนั้น ก่อนโจทก์บอกกล่าวบังคับจำนองจำเลยทั้งสองย่อมทราบดีอยู่แล้วว่าเป็นหนี้โจทก์อยู่จำนวนเท่าใดหากจำเลยทั้งสองประสงค์จะชำระหนี้ให้โจทก์ก็สามารถทำได้ภายในกำหนดเวลาดังกล่าว ประกอบกับโจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้หลังจากจำเลยได้รับหนังสือบอกกล่าวเป็นเวลานานถึง 4 เดือนเศษดังนั้น การบอกกล่าวบังคับจำนองของโจทก์จึงชอบแล้ว”
พิพากษายืน

Share