คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10154/2558

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยประกอบธุรกิจโรงแรมจึงมีหน้าที่ต้องรักษาความปลอดภัยในทรัพย์สินของคนเดินทางหรือแขกอาศัยหากได้พามา โรงแรมของจำเลยมีห้องพัก 48 ห้อง มีทางเข้าออกเพียงทางเดียว มีพนักงานปฏิบัติหน้าที่ 2 คน อ. ทำหน้าที่เป็นพนักงานรักษาความปลอดภัยและทำหน้าที่เปิดห้องพักให้แขกทางเข้าออกของโรงแรมไม่มีแผงเหล็กล้อเลื่อน ไม่มีไม้กั้นรถเข้าออก มีเพียงป้อมยาม เช่นนี้แสดงว่าขณะ อ. ไปเปิดห้องพักให้แขกจะไม่มีพนักงานรักษาความปลอดภัยคอยตรวจตราหรือดูแลรักษาความปลอดภัย คงมีเพียงพนักงานเก็บเงินคนเดียวประจำอยู่ที่เคาน์เตอร์ลงทะเบียนเข้าพัก ซึ่งย่อมเป็นที่ประจักษ์ว่าบุคคลดังกล่าวไม่อาจดูแลรักษาความปลอดภัยให้แก่ลูกค้าได้ คงทำได้เพียงอำนวยความสะดวกในการเข้าพักเท่านั้น ทั้งการขับรถเข้าออกโรงแรมสามารถกระทำได้โดยง่ายเพราะไม่มีแผงกั้นและจำเลยก็ไม่ได้จัดให้มีวิธีรักษาความปลอดภัยวิธีอื่นใดทำให้คนร้ายเข้ามาภายในห้องพักของแขกที่เข้ามาพักอาศัยได้โดยง่าย แม้ดาบตำรวจ ส. กับ ร. จะล็อกเพียงลูกบิดประตูห้องโดยไม่ได้ล็อกกลอนประตูและอุปกรณ์ล็อกรูปตัวยูทั้งที่มีอุปกรณ์ดังกล่าวติดตั้งอยู่ ก็ไม่ใช่เรื่องผิดปกติวิสัยของคนเข้าพักอาศัย ไม่อาจถือว่าเป็นความผิดของคนเดินทางหรือแขกอาศัย เพราะหากโรงแรมของจำเลยมีการรักษาความปลอดภัยอย่างเพียงพอ ก็ย่อมเป็นการยากที่คนร้ายจะสามารถเข้าไปภายในห้องพักของลูกค้าได้ จำเลยจึงต้องรับผิดตาม ป.พ.พ. มาตรา 674 เมื่อโจทก์ผู้รับประกันภัยจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้รับประโยชน์ไปตามสัญญาประกันภัยแล้ว ย่อมรับช่วงสิทธิมาเรียกร้องเอาจากจำเลยได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 1,300,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษากลับให้จำเลยชำระเงิน 1,300,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 10 มิถุนายน 2554) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีพาณิชย์และเศรษฐกิจวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นที่คู่ความไม่โต้แย้งกันในชั้นนี้รับฟังได้ว่า โจทก์รับประกันภัยรถยนต์หมายเลขทะเบียน ก-0798 ฉะเชิงเทรา ไว้จากดาบตำรวจสายชล มีกำหนดระยะเวลาคุ้มครอง 1 ปี เริ่มตั้งแต่วันที่ 30 ตุลาคม 2553 ถึงวันที่ 30 ตุลาคม 2554 จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด ประกอบกิจการโรงแรม ใช้ชื่อว่า โรงแรม ก. นายสรกฤชขับรถยนต์ที่โจทก์รับประกันภัยไว้โดยได้รับความยินยอมจากดาบตำรวจสายชล ผู้เอาประกันภัย เข้าพักที่โรงแรม ก. ของจำเลย ที่จังหวัดขอนแก่น โดยเปิดห้องพัก 2 ห้อง นายสรกฤชกับดาบตำรวจสายชล เข้าพักที่ห้องหมายเลข 717 และจอดรถยนต์ที่โจทก์รับประกันภัยไว้ที่ด้านข้างของห้องพัก ต่อมาในวันเดียวกัน เวลาประมาณ 9 นาฬิกา ปรากฏว่ารถยนต์ที่โจทก์รับประกันภัยไว้สูญหายไป ดาบตำรวจสายชลแจ้งเหตุให้พนักงานของจำเลยทราบและแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนแล้ว โจทก์ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามกรมธรรม์ประกันภัยเป็นเงิน 1,300,000 บาท ให้แก่ผู้รับประโยชน์แล้ว
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์หรือไม่ โดยจำเลยฎีกาว่า การที่นายสรกฤชและดาบตำรวจสายชลปิดล็อกเพียงลูกบิดประตูแต่ไม่ได้ล็อกกลอนประตูและอุปกรณ์ล็อกประตูรูปตัวยู และไม่เก็บกุญแจรถยนต์ให้มิดชิด ทำให้คนร้ายเข้าไปภายในห้องพักแล้วลักกุญแจรถยนต์ที่วางไว้บนชั้นวางโทรศัพท์แล้วขับรถยนต์ที่โจทก์รับประกันภัยไว้หลบหนีไป ถือเป็นความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของนายสรกฤชและดาบตำรวจสายชลซึ่งเป็นคนเดินทางหรือแขกอาศัย จำเลยในฐานะเจ้าสำนักโรงแรมหรือโฮเต็ล จึงไม่ต้องรับผิด นั้น เห็นว่า จำเลยประกอบธุรกิจโรงแรม เปิดให้บริการแก่บุคคลทั่วไปเข้าพักอาศัยทั้งในกรณีชั่วคราวและพักค้างคืน จำเลยจึงมีหน้าที่ต้องรักษาความปลอดภัยในทรัพย์สินของคนเดินทางหรือแขกอาศัยหากได้พามา เมื่อได้ความจากนายสุทรรศน์ พนักงานของจำเลยว่า โรงแรมของจำเลยมีห้องพักรวมทั้งหมด 48 ห้อง และได้ความจากนายพรศักดิ์ กรรมการผู้จัดการบริษัทจำเลยว่า โรงแรมของจำเลยมีทางเข้าออกเพียงทางเดียว ในช่วงเวลาเกิดเหตุ มีพนักงานของจำเลยปฏิบัติหน้าที่ประจำโรงแรม 2 คน โดยนายอดุลย์ ทำหน้าที่เป็นพนักงานรักษาความปลอดภัยและเป็นผู้ทำหน้าที่เปิดห้องพักให้แขก ส่วนนายสุทรรศน์ทำหน้าที่เป็นพนักงานเก็บเงิน วันเกิดเหตุ หลังจากนายอดุลย์เป็นคนไปเปิดห้องพักให้ดาบตำรวจสายชลกับพวก นายอดุลย์ก็กลับมาประจำอยู่ที่บริเวณป้อมยามหน้าทางเข้าออกของโรงแรม และปรากฏตามภาพถ่ายโรงแรมว่า ทางเข้าออกโรงแรมของจำเลยไม่มีแผงเหล็กล้อเลื่อน และไม่มีไม้กั้นเพื่อกั้นรถเข้าออก มีเพียงป้อมยามของพนักงานรักษาความปลอดภัย ซึ่งขณะเกิดเหตุนายอดุลย์ทำหน้าที่เป็นทั้งพนักงานรักษาความปลอดภัยประจำอยู่ที่ป้อมยาม และในขณะเดียวกันก็ทำหน้าที่เป็นพนักงานเปิดห้องพัก เช่นนี้แสดงว่า ขณะนายอดุลย์ไปเปิดห้องพักให้แขก จะไม่มีพนักงานรักษาความปลอดภัยคอยตรวจตราหรือดูแลรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของลูกค้าที่มาใช้บริการเข้าพัก คงมีเพียงพนักงานเก็บเงินเพียงคนเดียวประจำอยู่ที่เคาน์เตอร์ลงทะเบียนเข้าพัก ซึ่งย่อมเป็นที่ประจักษ์ว่าบุคคลดังกล่าวไม่อาจดูแลรักษาความปลอดภัยให้แก่ลูกค้าที่มาใช้บริการได้ คงทำได้เพียงการอำนวยความสะดวกในการเข้าพักเท่านั้น ทั้งการขับรถเข้าออกโรงแรมของจำเลยสามารถกระทำได้โดยง่ายเพราะไม่มีแผงกั้น และจำเลยก็ไม่ได้จัดให้มีวิธีรักษาความปลอดภัยวิธีอื่นใด ทำให้คนร้ายเข้ามาภายในห้องพักของแขกที่เข้ามาพักอาศัยได้โดยง่าย ดังนั้น แม้ดาบตำรวจสายชลกับนายสรกฤชจะล็อกเพียงลูกบิดประตูห้องโดยไม่ได้ล็อกกลอนประตูและอุปกรณ์ล็อกรูปตัวยูทั้งที่มีอุปกรณ์ดังกล่าวติดตั้งอยู่ ดังที่จำเลยฎีกาก็ตาม แต่ก็ไม่ใช่เรื่องผิดปกติวิสัยของคนเข้าพักอาศัย เพราะหากโรงแรมของจำเลยมีการรักษาความปลอดภัยอย่างเพียงพอ ก็ย่อมเป็นการยากที่คนร้ายจะสามารถเข้าไปภายในห้องพักของลูกค้าผู้มาใช้บริการได้ ลำพังเพียงการที่คนเดินทางหรือแขกอาศัยไม่ได้ล็อกกลอนประตูและอุปกรณ์ล็อกรูปตัวยู จึงยังไม่อาจถือได้ว่าเป็นความผิดของคนเดินทางหรือแขกอาศัยผู้นั้นเองหรือบริวารที่จะทำให้จำเลยซึ่งเป็นเจ้าสำนักโรงแรมพ้นความรับผิด จำเลยจึงต้องรับผิดเพื่อความสูญหายหรือบุบสลายอย่างใด ๆ อันเกิดแก่ทรัพย์สินซึ่งดาบตำรวจสายชลคนเดินทางหรือแขกอาศัยหากได้พามา ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 674 เมื่อโจทก์ในฐานะผู้รับประกันภัยได้จ่ายค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้รับประโยชน์ไปตามสัญญาประกันภัยแล้ว ย่อมได้รับช่วงสิทธิมาเรียกร้องเอาจากจำเลยได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษาให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์มานั้น ชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share