คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4312/2539

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ก่อนที่จำเลยที่ 1 กับพวกจะยิงผู้ตาย จำเลยที่ 2ขึ้นไปปิดประตูบ้านไม่ยอมให้ภรรยาผู้ตายเอามีดพร้าไปให้ผู้ตาย เป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกในการที่คนร้ายจะฆ่าผู้ตายโดยไม่มีผู้ใดไปช่วยผู้ตายหรือไปขัดขวางไม่ให้คนร้ายฆ่าผู้ตาย เป็นการสนับสนุนให้ผู้อื่นฆ่าผู้ตาย เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288 ประกอบมาตรา 86

ย่อยาว

คดีสามสำนวนนี้ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษารวมกันโดยให้เรียกจำเลยสำนวนแรกว่าจำเลยที่ 1 เรียกจำเลยสำนวนที่สองว่าจำเลยที่ 2และเรียกจำเลยสำนวนที่สามว่าจำเลยที่ 3
โจทก์ฟ้องทั้งสามสำนวนเป็นใจความว่า จำเลยทั้งสามโดยมีเจตนาฆ่าและโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ได้บังอาจร่วมกันตระเตรียมอาวุธปืนติดตัวแล้วร่วมกันใช้อาวุธปืนดังกล่าวยิงนายเสนาะ ทรงศรีหลายนัดถูกที่ชายโครงกลางหลังอันเป็นอวัยวะส่วนสำคัญของร่างกายเป็นเหตุให้นายเสนาะถึงแก่ความตาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 83, 289 และริบของกลาง
จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289(4) ประกอบมาตรา 83 ให้ประหารชีวิตจำเลยทั้งสาม จำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 หนึ่งในสาม คงลงโทษจำคุกจำเลยที่ 2 ตลอดชีวิต ริบของกลาง
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่าตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง ได้มีคนร้ายใช้อาวุธปืนยิงนายเสนาะ ทรงศรี ผู้ตายหลายนัด กระสุนปืนถูกที่บริเวณเอวด้านซ้าย ชายโครงด้านซ้ายและกลางหลังด้านซ้ายบริเวณเหนือเอวเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตายตามรายงานการชันสูตรพลิกศพเอกสารหมาย จ.14 คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่าจำเลยทั้งสามได้กระทำผิดตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่า ขณะเกิดเหตุที่ผู้ตายถูกคนร้ายใช้อาวุธปืนยิงนั้น โจทก์ไม่มีประจักษ์พยานเห็นว่าผู้ใดเป็นผู้ใช้อาวุธปืนยิงผู้ตาย ที่นางอรพินเบิกความว่าหลังจากมีเสียงปืนดังขึ้น 3 นัด จำเลยที่ 2 ได้กระโดดลงจากบ้านพยานวิ่งตามจำเลยที่ 2 ไป เห็นผู้ตายถูกยิงนอนตายและเห็นจำเลยที่ 1ถืออาวุธปืนยืนอยู่กับผู้ชายอีก 1 คน ห่างจากพยานประมาณ 3 วา นั้นหากจำเลยที่ 1 กับพวกเป็นผู้ยิงผู้ตาย โดยวิสัยของคนร้ายจะต้องรีบวิ่งหนีไปจากที่เกิดเหตุทันทีเพื่อไม่ให้มีบุคคลใดรู้เห็นการกระทำของตน จึงไม่มีเหตุผลที่จะยืนอยู่กับที่ให้นางอรพินวิ่งมาพบเห็นเช่นนั้น จุดที่ผู้ตายนอนตายอยู่นั้น ปรากฏตามคำเบิกความของนางอรพินว่าอยู่ห่างจากบ้านผู้ตายประมาณ 1 เส้นหากนางอรพินวิ่งจากบ้านมาถึงจุดที่ผู้ตายถูกยิง คนร้ายที่ยิงผู้ตายก็คงจะวิ่งจากจุดที่ซุ่มยิงผู้ตายไปไกลไม่น้อยกว่า 1 เส้นเช่นเดียวกัน และปรากฏตามคำเบิกความของนางอรพินตอนตอบทนายจำเลยถามค้านว่า โดยปกติจำเลยที่ 1 ไปไหนมาไหนจะถืออาวุธปืนยาวมาด้วยดังนั้น ที่นางอรพินเห็นจำเลยที่ 1 ถืออาวุธปืนยืนอยู่กับผู้ชายอีก 1 คน ห่างจากนางอรพินประมาณ 3 วา นั้น อาจเป็นเพราะจำเลยที่ 1กับพวกเดินผ่านมายังที่เกิดเหตุโดยไม่ใช่เป็นคนร้ายที่ยิงผู้ตายก็ได้ ที่นายจจอมไกรกับนายสงบเบิกความว่า หลังเกิดเหตุเห็นจำเลยทั้งสามถืออาวุธปืนยาวคนละกระบอกเดินมาด้วยกันนั้น นอกจากจะขัดแย้งกับคำเบิกความของนางอรพินแล้วเวลาที่เห็นจำเลยทั้งสามยังแตกต่างจากที่นางอรพินเบิกความด้วยกล่าวคือ นางอรพินเบิกความว่าเหตุเกิดในเวลาประมาณ 18 นาฬิกา โดยนายดาบตำรวจอำภรนนทศร พยานโจทก์เบิกความว่า นางอรพิน ยืนยันว่า ได้ยินเสียงปืนเมื่อเวลา 18 นาฬิกา แต่นายจอมไกรเบิกความว่า ได้ยินเสียงปืน3 นัด เมื่อเวลาประมาณ 17 นาฬิกา ซึ่งเป็นเวลาที่แตกต่างไปจากที่นางอรพินเบิกความประมาณ 1 ชั่วโมง ส่วนนายสงบกลับเบิกความว่าได้ยินเสียงปืน 3 นัด เมื่อเวลาประมาณ 16 นาฬิกา ซึ่งแตกต่างไปจากที่นางอรพินเบิกความถึง 2 ชั่วโมง นอกจากนี้นางอรพินเบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านว่า ขณะเห็นจำเลยที่ 1 กับพวกยืนถืออาวุธปืนนั้นจำเลยที่ 2 ได้วิ่งหลบหนีไปก่อนแล้ว และตอนวิ่งตามจำเลยที่ 2ไปนั้นไม่เห็นจำเลยที่ 2 มีอาวุธปืนติดตัว ดังนี้คำเบิกความของนายจอมไกรและนายสงบที่ว่าจำเลยทั้งสามเดินมาด้วยกันและถืออาวุธปืนคนละกระบอกจึงมีพิรุธไม่น่าเชื่อว่า จะเห็นจำเลยทั้งสามเดินมาพร้อมกันดังเบิกความนอกจากนี้ตามทางพิจารณาก็ไม่ปรากฏว่าเจ้าพนักงานตำรวจได้ยึดอาวุธปืนจากจำเลยที่ 1 และได้ทำการตรวจพิสูจน์แล้วว่าเป็นอาวุธปืนที่ใช้ยิงผู้ตายแต่ประการใดไม่ โจทก์คงมีแต่คำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 2 ตามเอกสารหมาย จ.26ที่ให้การว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้ยิงผู้ตายซึ่งเป็นคำชัดทอดของผู้ต้องหาด้วยกัน หามีน้ำหนักจะรับฟังได้ไม่ พยานหลักฐานโจทก์จึงมีน้ำหนักไม่พอรับฟังว่าจำเลยที่ 1 และที่ 3 เป็นผู้ใช้อาวุธปืนยิงผู้ตาย คงมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 2 ได้ขึ้นไปปิดประตูบ้านของผู้ตายไม่ยอมให้นางอรพินออกไปช่วยผู้ตายก่อนผู้ตายจะถูกยิงจริงหรือไม่และหากเป็นความจริง จำเลยที่ 2จะมีความผิดสถานใด ในข้อนี้ ปรากฏตามคำเบิกความของนางอรพิน ว่านางอรพินรู้จักจำเลยที่ 2 ก่อนเกิดเหตุประมาณ 5 ถึง 6 เดือนขณะเกิดเหตุเป็นเวลาประมาณ 18 นาฬิกา ยังมีแสงสว่างอยู่บ้านผู้ตายเป็นบ้านไม้ชั้นเดียวใต้ถุนสูง ฝาบ้านเป็นไม้ไผ่ขัดแตะแสดงว่าฝาบ้านไม่ทึบแต่มีช่องว่างตามรอยขัดแตะ แสดงว่าฝาบ้านไม่ทึบแต่มีช่องว่างตามรอยขัดแตะและผู้ที่อยู่ในบ้านสามารถมอบลอดจากช่องขัดแตะออกไปเห็นเหตุการณ์ภายนอกบ้านได้ นางอรพินเบิกความด้วยว่าขณะจำเลยที่ 2 มาปิดประตูบ้านและยืนขวางประตูไม่ให้พยานออกไปนั้นพยานเห็นจำเลยที่ 2 นานประมาณ 2 ถึง 3 นาที จึงมีเหตุผลน่าเชื่อว่าพยานเห็นจำเลยที่ 2 เป็นผู้มาปิดประตูไม่ยอมให้พยานออกไปดังเบิกความและทางพิจารณาไม่ปรากฏข้อชวนระแวงว่าพยานจะแกล้งปรักปรำให้ร้ายจำเลยที่ 2 ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่า จำเลยที่ 2 เป็นผู้ขึ้นไปปิดประตูบ้านผู้ตายไม่ยอมให้นางอรพินออกจากบ้านผู้ตายจริงและข้อเท็จจริงยังได้ความจากคำเบิกความของนางอรพินว่า ก่อนที่จำเลยที่ 2 จะขึ้นไปปิดประตูไม่ยอมให้นางอรพินออกไปนั้นได้มีเสียงของผู้ตายร้องให้ช่วยโดยให้นางอรพินเอามีดพร้าให้ผู้ตายขณะนางอรพินจะหยิบมีดพร้า จำเลยที่ 2 จึงขึ้นไปปิดประตูจนมีเสี่ยงปืนดังขึ้น 3 นัดแล้ว จำเลยที่ 2 จึงกระโดดลงจากบ้านวิ่งหนีไป ข้อเท็จจริงดังกล่าวแสดงว่า จำเลยที่ 2 รู้ว่ามีเหตุร้ายเกิดขึ้นกับผู้ตาย จึงได้ขึ้นไปปิดประตูบ้าน ไม่ยอมให้นางอรพินออกไปช่วยผู้ตาย จึงมีปัญหาว่าการกระทำของจำเลยที่ 2 เป็นการสมคบกับคนร้ายร่วมกันฆ่าผู้ตายหรือไม่ ข้อนี้ทางพิจารณาโจทก์มิได้นำสืบให้เห็นได้ว่าจำเลยทั้งสามได้ร่วมกันมาดักฆ่าผู้ตายตั้งแต่แรกจุดที่ผู้ตายถูกยิงอยู่ห่างจากบ้านผู้ตายประมาณ 1 เส้นการที่จำเลยที่ 2 อยู่บนบ้านผู้ตายในขณะเกิดเหตุ จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 อยู่ในเหตุการณ์ด้วย ทั้งปรากฏตามคำเบิกความของนางอรพินว่า หลังเกิดเหตุจำเลยที่ 2 วิ่งหลบหนีไปก่อนแล้วนางอรพินจึงเห็นจำเลยที่ 1 กับพวกอีกคนยืนอยู่ด้วยกันโดยไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 2 ได้อยู่กับจำเลยที่ 1 หรือร่วมกันเดินหนีไปกับจำเลยที่ 1 กับพวกแต่อย่างใด ข้อเท็จจริงจึงรับฟังไม่ได้ว่า จำเลยที่ 2 ได้ร่วมสมคบกับจำเลยที่ 1กับพวกฆ่าผู้ตาย แต่การที่จำเลยที่ 2 ขึ้นไปปิดประตูบ้านไม่ยอมให้นางอรพินเอามีดพร้าไปให้ผู้ตายก่อนที่ผู้ตายจะถูกยิงตายนั้นเป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกในการที่คนร้ายจะฆ่าผู้ตายโดยมีผู้ใดไปช่วยผู้ตายหรือไปขัดขวางไม่ให้คนร้ายฆ่าผู้ตายการกระทำของจำเลยที่ 2 เป็นการสนับสนุนให้ผู้อื่นฆ่าผู้ตายเป็นความผิดตายประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบมาตรา 86แม้โจทก์ไม่ได้ฟ้องในข้อหานี้ ศาลฎีกาก็มีอำนาจวินิจฉัยและลงโทษจำเลยที่ 2 ในความผิดนี้ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 192 วรรคท้าย”
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288 ประกอบมาตรา 86 ให้ลงโทษจำคุก 10 ปี จำเลยที่ 2ให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวน เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 หนึ่งในสาม คงจำคุก 6 ปี 8 เดือน ริบของกลาง นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3

Share