คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8298/2538

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ลูกหนี้เปิดบัญชีฝากเงินกระแสรายวันไว้กับผู้คัดค้านต่อมาลูกหนี้ทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีกับผู้คัดค้าน ในวงเงิน 200,000 บาท และทำสัญญาจำนำสิทธิที่จะถอนเงินฝากจากบัญชีฝากประจำจำนวน 200,000 บาท ให้แก่ผู้คัดค้านไว้เป็นประกัน พร้อมทำหนังสือมอบอำนาจให้ผู้คัดค้าน เบิกถอนเงินจากบัญชีเงินฝากประจำเป็นส่วนหนึ่งของการชำระหนี้ เมื่อใดก็ได้ ขณะที่ลูกหนี้นำเงินเข้าฝากประจำและทำสัญญา กู้เบิกเงินเกินบัญชีกับผู้คัดค้านนั้น ลูกหนี้ยังไม่ได้ เป็นหนี้ผู้คัดค้าน ลูกหนี้จะเป็นหนี้ผู้คัดค้านหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับว่าลูกหนี้เบิกเงินเกินบัญชีไปจากหรือไม่ดังนั้นแม้จะกระทำการดังกล่าวในระหว่างที่ลูกหนี้ถูกโจทก์ฟ้องขอให้ล้มละลาย แต่ในขณะนั้นผู้คัดค้านก็ยังไม่อยู่ในฐานะเป็นเจ้าหนี้ของลูกหนี้ในอันที่จะเรียกร้องให้ลูกหนี้ชำระหนี้ได้ ยังถือไม่ได้ว่าเป็นการกระทำเพื่อมุ่งหมายให้ผู้คัดค้านได้เปรียบเจ้าหนี้อื่น ซึ่งผู้ร้อง จะร้องขอให้เพิกถอนตามมาตรา 115 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ. 2483 ได้ และเมื่อปรากฏว่าลูกหนี้เป็นหนี้เบิกเงินเกินบัญชีแก่ผู้คัดค้านในเวลาที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ ผู้คัดค้านจึงมีสิทธิถอนเงินฝากประจำของลูกหนี้หักกลบลบหนี้กับหนี้ที่ลูกหนี้เบิกเงินเกินบัญชีจากผู้คัดค้านได้ตามมาตรา 102 ทั้งนี้โดยไม่จำต้องอาศัยความยินยอมของลูกหนี้อีก ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิร้องขอให้เพิกถอนการหักกลบลบหนี้ตามมาตรา 115 ได้เช่นกัน

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องจำเลย (ลูกหนี้) ขอให้ล้มละลายเมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2534 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาดเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2535 และพิพากษาให้ล้มละลายเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2536 ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ตามทางสอบสวนของผู้ร้องปรากฏว่าลูกหนี้เป็นลูกค้าของผู้คัดค้านประเภทบัญชีกระแสรายวันเลขที่ 288-1-00731-5 ต่อมาวันที่ 9 สิงหาคม 2534ลูกหนี้ได้ทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีวงเงิน 200,000 บาทอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 19 ต่อปี เพื่อเป็นหลักประกันลูกหนี้ได้ทำสัญญาจำนำสิทธิที่จะถอนเงินจากบัญชีเงินฝากประจำบัญชีเลขที่ 288-3-00253-1/03 ลงวันที่ 9 สิงหาคม 2534 จำนวน200,000 บาท โดยลูกหนี้มอบอำนาจให้ผู้คัดค้านสามารถหักเงินฝากพร้อมดอกเบี้ยในบัญชีดังกล่าวชำระหนี้เป็นการหักกลบลบหนี้ได้ทุกเมื่อ การกระทำของลูกหนี้กระทำภายหลังที่โจทก์ขอให้ลูกหนี้ล้มละลายแล้วเกือบ 2 เดือน ในขณะที่ลูกหนี้มีหนี้สินล้นพ้นตัวโดยมีเจ้าหนี้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ 5 ราย เป็นเงินจำนวน 6,230,764.81บาท แต่ทรัพย์สินของลูกหนี้ที่ผู้ร้องรวบรวมได้เป็นที่ดินมีราคาประเมินเพียง 648,000 บาท การกระทำของลูกหนี้มุ่งให้ผู้คัดค้านได้เปรียบเจ้าหนี้อื่น ขอให้เพิกถอนการนำเงินเข้าฝากประจำและจำนำสิทธิที่จะถอนเงินจากบัญชีเงินฝากประจำเลขที่ 288-3-00253-1/03 เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2534 จำนวน200,000 บาท ของลูกหนี้ และการขอหักกลบลบหนี้ของผู้คัดค้านตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 115 โดยให้ผู้คัดค้านคืนเงินฝากประจำจำนวน 200,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ 8 สิงหาคม 2534 ซึ่งเป็นวันที่ลูกหนี้นำเงินเข้าฝากเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่กองทรัพย์สินของลูกหนี้
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านว่า ผู้คัดค้านรับชำระหนี้โดยสุจริตไม่ทราบว่าลูกหนี้มีหนี้สินล้นพ้นตัว ผู้ร้องจะขอให้เพิกถอนการชำระหนี้ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483มาตรา 115 ได้จะต้องได้ความว่าการกระทำของลูกหนี้หรือการที่ลูกหนี้ยอมให้กระทำการเป็นการกระทำโดยมุ่งหมายให้เจ้าหนี้คนหนึ่งคนใดได้เปรียบเจ้าหนี้คนอื่น ซึ่งมุ่งถึงกิริยาที่ยินยอมมิใช่ผู้อื่นทำด้วยความยินยอมของลูกหนี้ แม้จะไม่มีข้อตกลงให้ผู้คัดค้านหักเงินฝากประจำบัญชีเลขที่ 288-3-00253-1/03ชำระหนี้ผู้คัดค้านก็มีสิทธิที่จะหักกลบลบหนี้ได้ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 102 การนำเงินฝากประจำของลูกหนี้หักกลบลบหนี้กับหนี้ที่ลูกหนี้ค้างชำระอยู่แก่ผู้คัดค้าน ไม่ทำให้ผู้คัดค้านซึ่งเป็นเจ้าหนี้รายหนึ่งได้เปรียบเจ้าหนี้รายอื่น ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เพิกถอนการนำเงินเข้าฝากประจำและจำนำสิทธิที่จะถอนเงินจากบัญชีฝากประจำเลขที่ 288-3-00253-1/03ของลูกหนี้ เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2534 จำนวน 200,000 บาทให้ผู้คัดค้านคืนเงินจำนวน 200,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ 8 สิงหาคม 2534 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่กองทรัพย์สินของลูกหนี้ ผู้คัดค้านอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน ผู้คัดค้านฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงที่ไม่โต้เถียงกันฟังได้ว่าโจทก์ฟ้องลูกหนี้ขอให้ล้มละลายเมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2534ศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ลูกหนี้เด็ดขาดเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2535 และพิพากษาให้ล้มละลายเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม2536 ลูกหนี้ได้เปิดบัญชีฝากเงินประเภทกระแสรายวันไว้กับผู้คัดค้านตามบัญชีเลขที่ 288-1-00731-5 ต่อมาวันที่ 9 สิงหาคม2534 ลูกหนี้ทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีกับผู้คัดค้านในวงเงิน20,000 บาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 19 ต่อปี และในวันเดียวกันลูกหนี้ได้ทำสัญญาจำนำสิทธิที่จะถอนเงินฝากประจำบัญชีเลขที่ 288-3-00253-1/03 จำนวนเงิน 200,000 บาท ให้แก่ผู้คัดค้านไว้เป็นประกัน พร้อมทำหนังสือมอบอำนาจให้ผู้คัดค้านเบิกถอนเงินจากบัญชีเงินฝากประจำดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของการชำระหนี้เมื่อใดก็ได้ เมื่อลูกหนี้ถูกพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดแล้วมีเจ้าหนี้ขอรับชำระหนี้ 5 ราย จำนวนเงิน 6,230,764.81 บาทซึ่งผู้ร้องรวบรวมทรัพย์สินของลูกหนี้ได้เพียง 648,000 บาท และไม่มีทรัพย์สินอื่นใดอีกที่จะรวบรวมมาชำระหนี้ได้ สำหรับหนี้เบิกเงินเกินบัญชีของลูกหนี้คิดถึงวันที่ลูกหนี้ถูกพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดลูกหนี้ยังเป็นหนี้ผู้คัดค้านอยู่จำนวนหนึ่ง ผู้คัดค้านได้ถอนเงินจากบัญชีเงินฝากประจำของลูกหนี้มาชำระหนี้เงินกู้เบิกเกินบัญชีในวันที่ลูกหนี้ถูกพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้คัดค้านว่า การที่ลูกหนี้ได้ทำสัญญาจำนำสิทธิที่จะถอนเงินจากบัญชีเงินฝากประจำบัญชีเลขที่ 288-3-00253-1/03 ลงวันที่ 9 สิงหาคม 2534 แก่ผู้คัดค้านและการที่ผู้คัดค้านถอนเงินจากบัญชีเงินฝากประจำของลูกหนี้ดังกล่าวนำมาชำระหนี้เงินกู้เบิกเกินบัญชีของลูกหนี้เป็นการกระทำของลูกหนี้โดยมุ่งหมายให้ผู้คัดค้านได้เปรียบเจ้าหนี้อื่นตามมาตรา 115 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 หรือไม่ ข้อเท็จจริงได้ความว่าลูกหนี้นำเงินเข้าฝากประจำไว้กับผู้คัดค้านตามบัญชีเลขที่ 288-3-00253-1/03 เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2534 และลูกหนี้ทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีกับผู้คัดค้านเมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2534 เห็นว่า ขณะที่ลูกหนี้นำเงินเข้าฝากก็ดีและทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีกับผู้คัดค้านก็ดี ลูกหนี้ยังไม่ได้เป็นหนี้ผู้คัดค้านอยู่เลย พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483มาตรา 115 บัญญัติว่า “การโอนทรัพย์สินหรือการกระทำใด ๆซึ่งลูกหนี้ได้กระทำหรือยินยอมให้กระทำในระหว่างระยะเวลาสามเดือนก่อนมีการขอให้ล้มละลายและภายหลังนั้น โดยมุ่งหมายให้เจ้าหนี้คนหนึ่งคนใดได้เปรียบแก่เจ้าหนี้อื่น ถ้าเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีคำขอโดยทำเป็นคำร้อง ศาลก็มีอำนาจสั่งเพิกถอนการโอนหรือการกระทำนั้นได้” ดังนั้นการที่ผู้คัดค้านจะขอให้เพิกถอนการโอนหรือการกระทำใด ๆ ของลูกหนี้ตามบทบัญญัติดังกล่าวจะต้องพิจารณาถึงความมุ่งหมายของลูกหนี้ว่าจะให้เจ้าหนี้คนใดได้เปรียบแก่เจ้าหนี้อื่นในระหว่างระยะเวลาสามเดือนก่อนมีการขอให้ล้มละลายและภายหลังนั้นหรือไม่เท่านั้นปัญหาที่ว่าลูกหนี้ได้เป็นหนี้ผู้คัดค้านหรือไม่ในขณะนั้น เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าขณะที่ลูกหนี้นำเงินเข้าฝากประจำไว้กับผู้คัดค้านและทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีกับผู้คัดค้านนั้น ลูกหนี้ยังไม่ได้เป็นหนี้ผู้คัดค้านแต่อย่างใด ลูกหนี้จะเป็นหนี้ผู้คัดค้านหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับว่าลูกหนี้เบิกเงินเกินบัญชีไปจากผู้คัดค้านหรือไม่ซึ่งเป็นเหตุการณ์ในอนาคตที่ยังไม่แน่นอน หากลูกหนี้ยังไม่เบิกเงินไป ลูกหนี้ก็ยังไม่เป็นหนี้ผู้คัดค้าน ลูกหนี้จะเป็นหนี้ผู้คัดค้านก็ต่อเมื่อได้เบิกเงินไปจากบัญชีเท่านั้น ดังนั้นขณะที่ลูกหนี้นำเงินเข้าฝากประจำและให้สิทธิที่จะถอนเงินฝากประจำของลูกหนี้ดังกล่าวแก่ผู้คัดค้าน แม้จะกระทำในระหว่างที่ลูกหนี้ถูกฟ้องขอให้ล้มละลาย แต่ในขณะนั้นผู้คัดค้านก็ยังไม่อยู่ในฐานะเป็นเจ้าหนี้ของลูกหนี้ในอันที่จะเรียกร้องให้ลูกหนี้ชำระหนี้ได้การกระทำของลูกหนี้ดังกล่าวยังถือไม่ได้ว่าเป็นการกระทำเพื่อมุ่งหมายให้ผู้คัดค้านซึ่งเป็นเจ้าหนี้ได้เปรียบเจ้าหนี้อื่น ซึ่งผู้ร้องจะร้องขอให้เพิกถอนการกระทำของลูกหนี้ตามมาตรา 115แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 ได้ ปัญหาต่อไปมีว่าเมื่อลูกหนี้ได้เบิกเงินไปจากบัญชีตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีและเป็นหนี้ผู้คัดค้านแล้ว ผู้คัดค้านจะมีสิทธิถอนเงินจากบัญชีเงินฝากประจำของลูกหนี้นำมาหักกลบลบหนี้กับหนี้ที่ลูกหนี้เบิกเงินเกินบัญชีไปได้หรือไม่ เห็นว่า เมื่อการให้สิทธิที่จะถอนเงินฝากประจำจากบัญชีของลูกหนี้ซึ่งลูกหนี้มอบอำนาจให้ผู้คัดค้านสามารถถอนเงินจากบัญชีดังกล่าวหักกลบลบหนี้ที่มีอยู่แก่ผู้คัดค้านเมื่อใดก็ได้ ผู้ร้องไม่อาจร้องขอเพิกถอนได้ดังวินิจฉัยมาแล้ว เมื่อปรากฏว่าลูกหนี้เป็นหนี้เบิกเงินเกินบัญชีแก่ผู้คัดค้านในเวลาที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ ผู้คัดค้านจึงมีสิทธิถอนเงินฝากประจำของลูกหนี้หักกลบลบหนี้กับหนี้ที่ลูกหนี้เบิกเงินเกินบัญชีจากผู้คัดค้านได้ตาม มาตรา 102 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483ทั้งนี้โดยไม่จำต้องอาศัยความยินยอมของลูกหนี้แต่ประการใดอีกผู้ร้องไม่มีสิทธิร้องขอให้เพิกถอนการหักกลบลบหนี้ตามมาตรา 115แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 ได้เช่นกัน”
พิพากษากลับให้ยกคำร้อง

Share