แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้จัดการมรดกย่อมเป็นตัวแทนของทายาทคือโจทก์ จำเลยจึงมีหน้าที่ต้องแบ่งปันทรัพย์มรดกให้แก่โจทก์ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์1720 ดังนั้น การที่จำเลยครอบครองที่ดินพิพาทอันเป็นทรัพย์มรดกทั้งสองแปลงไว้ ถือได้ว่าเป็นการครอบครองแทนโจทก์ด้วยตลอดมา จำเลยจะอ้างว่าจำเลยครอบครองเป็นเจ้าของที่ดินพิพาททั้งสองแปลงแต่ผู้เดียวโดยจำเลยไม่ได้บอกกล่าวเปลี่ยนลักษณะการยึดถือหาได้ไม่ หากจำเลยประสงค์จะครอบครองที่ดินแต่ผู้เดียว จำเลยจะต้องบอกกล่าวเปลี่ยนลักษณะการยึดถือไปยังโจทก์ว่าจะไม่ครอบครองที่ดินแทนโจทก์ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1381 จำเลยยังมิได้แบ่งปันที่ดินพิพาททั้งสองแปลงให้แก่โจทก์ ถือได้ว่าที่ดินพิพาททั้งสองแปลงเป็นทรัพย์มรดกที่ยังอยู่ในระหว่างการจัดการ จำเลยในฐานะผู้จัดการมรดกย่อมไม่มีสิทธิอ้างอายุความมรดกขึ้นต่อสู้เพื่อที่จะบอกปัดไม่แบ่งปันทรัพย์มรดกให้แก่โจทก์ และเมื่อถือว่าจำเลยครอบครองที่ดินพิพาททั้งสองแปลงแทนโจทก์ด้วยตลอดมาเช่นนี้แล้วคดีของโจทก์จึงไม่ขาดอายุความมรดก โจทก์บรรยายฟ้องว่า เจ้ามรดกมีโจทก์และจำเลยเป็นทายาทผู้มีสิทธิได้รับมรดกเพียง 2 คน จำเลยมิได้ให้การปฎิเสธว่า ยังมีทายาทอื่นอันควรได้รับส่วนแบ่งด้วย จึงต้องฟังตามฟ้อง ดังนั้น การแบ่งที่ดินมรดกทั้งสองแปลง จึงต้องแบ่งให้แก่โจทก์และจำเลยเพียง 2 คน เพราะถือได้ว่าทายาทอื่นนอกจากนี้ไม่มีอีกแล้ว
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์กับจำเลยเป็นบุตรของนายกิม บุญฉวีราษฎร์ ซึ่งถึงแก่กรรมเมื่อปี 2523 มีทรัพย์มรดกเป็นที่ดิน 2 แปลง คือที่ดินโฉนดเลขที่ 551 และ 889 ตำบลหัวโพ อำเภอบางแพ จังหวัดราชบุรี ที่ดินโฉนดเลขที่ 551นายกิมเป็นเจ้าของรวมกับผู้อื่นอีก 3 คน ได้แบ่งแยกกันครอบครองเป็น 3 ส่วน เท่า ๆ กัน ส่วนของนายกิมมีเนื้อที่4 ไร่ 3 งาน 42 ตารางวา มีราคาประมาณ 500,000 บาท ที่ดินโฉนดเลขที่ 889 มีราคาประมาณ 200,000 บาท และมีบ้านเลขที่117 หมู่ที่ 2 ปลูกอยู่ในที่ดินโฉนดเลขที่ 889 มีราคาประมาณ20,000 บาท จำเลยเป็นผู้จัดการมรดกของนายกิมตามคำสั่งศาลจำเลยจะต้องแบ่งปันทรัพย์มรดกดังกล่าวให้โจทก์กึ่งหนึ่ง แต่จำเลยไม่ยอมแบ่ง และจำเลยได้รื้อบ้านเอาไปเป็นของตนแต่ผู้เดียว ขอให้บังคับจำเลยในฐานะส่วนตัวและผู้จัดการมรดกแบ่งที่ดินทั้งสองแปลงและบ้านอีก 1 หลัง ให้แก่โจทก์กึ่งหนึ่งคิดเป็นเงิน 360,000 บาท หากไม่สามารถตกลงแบ่งกันได้ให้นำทรัพย์ดังกล่าวออกขายทอดตลาดนำเงินแบ่งกันคนละกึ่งหนึ่ง
จำเลยให้การว่า ที่ดินแปลงแรกโฉนดเลขที่ 551 นายกิมผู้เป็นบิดายกให้จำเลยตั้งแต่ก่อนนายกิมถึงแก่กรรม จำเลยได้ครอบครองทำนาในที่ดินดังกล่าวตลอดมาจนถึงปัจจุบัน ที่ดินแปลงหลังโฉนดเลขที่ 889 จำเลยได้ครอบครองปลูกบ้านเรือนอยู่ในที่ดินนี้ตั้งแต่ปี 2525 จนถึงปัจจุบัน ส่วนบ้านเลขที่117 หมู่ที่ 2 นายกิมได้ขายและผู้ซื้อรื้อไปนานแล้ว จำเลยไม่เคยเกี่ยวข้องกับบ้านหลังดังกล่าว หลังจากนายกิมถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2523 แล้ว จำเลยได้ยึดถือครอบครองที่ดินทั้งสองแปลงอย่างเป็นเจ้าของตลอดมา โดยเฉพาะที่ดินแปลงแรกโฉนดเลขที่ 551 จำเลยได้แสดงเจตนายึดถือเพื่อตนทางทะเบียนมาตั้งแต่วันที่ 2 กรกฎาคม 2533 โจทก์ไม่เคยเข้ายึดถือครอบครองหรือเข้าเกี่ยวข้องแสดงสิทธิใด ๆ คดีโจทก์จึงขาดอายุความมรดก ขอให้ยกฟ้อง
ในวันชี้สองสถานคู่ความแถลงรับกันว่า นายกิมเจ้ามรดกถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2523 โจทก์รู้ถึงความตายของนายกิมในวันนั้นเอง และโจทก์สละสิทธิไม่ขอแบ่งส่วนในทรัพย์มรดกอันเป็นบ้านเลขที่ 117 หมู่ที่ 2 ตามฟ้อง จำเลยรับว่าที่ดินโฉนดเลขที่ 551 นายกิมยกให้จำเลยโดยไม่ได้ทำหลักฐานเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ศาลชั้นต้นเห็นว่าข้อเท็จจริงสามารถวินิจฉัยได้แล้ว จึงสั่งให้งดสืบพยานโจทก์จำเลย แล้วพิพากษาให้จำเลยแบ่งที่ดินโฉนดเลขที่ 551 ตำบลหัวโพ อำเภอบางแพ จังหวัดราชบุรีเฉพาะส่วนของนายกิม บุญฉวีราษฎร์เนื้อที่ 2 งาน 42.35 ตารางวาและที่ดินโฉนดเลขที่ 889 ตำบลหัวโพ อำเภอบางแพ จังหวัดราชบุรีเนื้อที่ 43.5 ตารางวาให้โจทก์ หากไม่สามารถแบ่งกันได้ให้นำที่ดินทรัพย์มรดกของนายกิมออกขายโดยประมูลราคากันระหว่างโจทก์จำเลย ถ้าประมูลราคากันไม่ได้นำออกขายทอดตลาดแล้วนำเงินแบ่งกันระหว่างโจทก์จำเลย โดยโจทก์มีสิทธิได้รับหนึ่งในสี่ คำขอนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ในเบื้องต้นมีปัญหาตามฎีกาของโจทก์ว่าคดีของโจทก์ขาดอายุความมรดกหรือไม่ ข้อเท็จจริงที่โจทก์ฟ้องและจำเลยมิได้ปฎิเสธฟังได้ว่า จำเลยได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้จัดการมรดกของนายกิม บุญฉวีราษฎร์ เจ้ามรดกตามคำสั่งของศาลชั้นต้นในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 505/2533ของศาลชั้นต้น ตามคำสั่งลงวันที่ 27 มกราคม 2533 ดังนี้เมื่อไม่ปรากฎเหตุผลเป็นอย่างอื่น ก็ต้องถือว่าจำเลยซึ่งอยู่ในฐานะผู้จัดการมรดกย่อมเป็นตัวแทนของทายาทคือโจทก์จำเลยจึงมีหน้าที่ต้องแบ่งปันทรัพย์มรดกให้แก่โจทก์ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1720 ดังนั้น การที่จำเลยครอบครองที่ดินพิพาทอันเป็นทรัพย์มรดกทั้งสองแปลงไว้ถือได้ว่าเป็นการครอบครองแทนโจทก์ด้วยตลอดมา จำเลยจะอ้างว่าจำเลยครอบครองเป็นเจ้าของที่ดินพิพาททั้งสองแปลงแต่ผู้เดียวโดยจำเลยไม่ได้บอกกล่าวเปลี่ยนลักษณะการยึดถือหาได้ไม่ หากจำเลยประสงค์จะครอบครองที่ดินแต่ผู้เดียว จำเลยจะต้องบอกกล่าวเปลี่ยนลักษณะการยึดถือไปยังโจทก์ว่าจะไม่ครอบครองที่ดินแทนโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1381 จำเลยยังมิได้แบ่งปันที่ดินพิพาททั้งสองแปลงให้แก่โจทก์ ถือได้ว่าที่ดินพิพาททั้งสองแปลงเป็นทรัพย์มรดกที่ยังอยู่ระหว่างการจัดการ เมื่อทรัพย์มรดกยังอยู่ในระหว่างการจัดการ เมื่อทรัพย์มรดกยังอยู่ในระหว่างการจัดการจำเลยในฐานะผู้จัดการมรดกย่อมไม่มีสิทธิอ้างอายุความมรดกขึ้นต่อสู้ เพื่อที่จะบอกปัดไม่แบ่งปันทรัพย์มรดกให้แก่โจทก์และเมื่อถือว่าจำเลยครอบครองที่ดินพิพาททั้งสองแปลงแทนโจทก์ด้วยตลอดมาเช่นนี้แล้ว คดีของโจทก์จึงไม่ขาดอายุความมรดกที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า คดีของโจทก์ขาดอายุความมรดก 1 ปีเพราะจำเลยเป็นฝ่ายครอบครองที่ดินพิพาททั้งสองแปลงแต่ผู้เดียวตลอดมานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย เพราะไม่ปรากฎข้อเท็จจริงว่าจำเลยครอบครองฝ่ายเดียวแต่อย่างใด เนื่องจากไม่มีการสืบพยานโจทก์และจำเลย
ปัญหาต่อไปคือ โจทก์มีสิทธิได้รับมรดกเพียงใด ศาลชั้นต้นวินิจฉัยให้แบ่งที่ดินอันเป็นทรัพย์มรดกทั้งสองแปลงระหว่างนายกิมกับนางสนภรรยาของนายกิมคนละกึ่งหนึ่งเสียก่อนแล้วส่วนของนายกิมจึงจะนำมาแบ่งให้ทายาทของนายกิม คือนางสน(ภรรยานายกิม) โจทก์ จำเลย และนายสำเภาซึ่งเป็นบุตรอีกคนหนึ่งของนายกิม รวมเป็นทายาท 4 คน แบ่งเป็น 4 ส่วนโจทก์ได้ 1 ส่วน โจทก์ฎีกาว่า ต้องแบ่งให้โจทก์กับจำเลยเพียง2 คน เท่านั้น เนื่องจากทายาทคนอื่น ๆ ได้ถึงแก่กรรมไปหมดแล้วแม้ศาลจะแบ่งให้แก่ทายาทอื่นซึ่งถึงแก่กรรมผลที่สุดทรัพย์มรดกก็จะวนเวียนมาตกได้แก่โจทก์และจำเลยอีก ซึ่งเท่ากับแบ่งให้โจทก์และจำเลยเพียง 2 คน ในข้อนี้โจทก์แสดงบัญชีเครือญาติตามเอกสารแนบท้ายฟ้องหมายเลข 1 ระบุว่านายกิม นางสนเป็นสามีภรรยากันมีบุตรด้วยกัน 4 คน คือ 1. นายสมคิดซึ่งตายก่อนนายกิมโดยไม่มีภรรยาและบุตร 2.จำเลย 3.นายสำเภาซึ่งตายก่อนนายสนโดยไม่มีภรรยาและบุตร 4.โจทก์ สำหรับนางสนภรรยานายกิมบัญชีเครือญาติระบุว่าตายเมื่อปี 2533 นายกิมตายเมื่อปี 2523 จำเลยให้การมิได้โต้เถียงความถูกต้องของบัญชีเครือญาตินี้ซึ่งเท่ากับจำเลยยอมรับว่าทายาทคนอื่น ๆของนายกิมได้ถึงแก่กรรมไปหมดแล้ว คงเหลือแต่โจทก์กับจำเลยเพียง 2 คน โจทก์บรรยายฟ้องว่า มีโจทก์และจำเลยเป็นทายาทผู้มีสิทธิได้รับมรดกเพียง 2 คน จำเลยมิได้ให้การปฎิเสธว่า ยังมีทายาทอื่นอันควรได้รับส่วนแบ่งด้วย จึงต้องฟังตามฟ้อง ดังนั้น การแบ่งที่ดินมรดกทั้งสองแปลงจึงต้องแบ่งให้แก่โจทก์และจำเลยเพียง 2 คน เพราะถือได้ว่าทายาทอื่นนอกจากนี้ไม่มีอีกแล้ว
พิพากษากลับ ให้จำเลยในฐานะผู้จัดการมรดกจัดการแบ่งที่ดินโฉนดเลขที่ 551 ตำบลหัวโพ อำเภอบางแพ จังหวัดราชบุรีเฉพาะส่วนที่นายกิม บุญฉวีราษฎร์ (เจ้ามรดก) ครอบครองเป็นเจ้าของ และที่ดินโฉนดเลขที่ 889 ตำบลหัวโพ อำเภอบางแพจังหวัดราชบุรี อันเป็นทรัพย์มรดกของนายกิมให้แก่โจทก์กึ่งหนึ่ง หากไม่สามารถตกลงแบ่งกันได้ให้ขายโดยประมูลราคาระหว่างกันเองหรือขายทอดตลาดนำเงินมาแบ่งกันคนละกึ่งหนึ่งคำขออื่นให้ยก