คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8228/2538

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

หนังสือสัญญาค้ำประกันที่จำเลยในฐานะผู้ค้ำประกันการชำระหนี้ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นทำขึ้นเพื่อขอทุเลาการบังคับคดีระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ ไม่มีผลเป็นหลักประกันในการทุเลาการบังคับคดีในชั้นฎีกาเป็นการล่วงหน้าไปด้วย แม้หนังสือสัญญาค้ำประกันใช้ข้อความว่าเมื่อคดีถึงที่สุด จำเลยไม่สามารถนำเงินมาชำระหนี้ให้แก่โจทก์ได้ ยินยอมให้บังคับเอาจากทรัพย์สินซึ่งนำมาวางไว้เป็นประกัน การประกันก็มีผลในชั้นอุทธรณ์เท่านั้น เมื่อหนี้ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นในส่วนค่าเสียหายถูกยกไปโดยคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ สัญญาค้ำประกันการชำระหนี้ด้วยเงิน ของจำเลยย่อมไม่มีผลผูกพันจำเลยอีกต่อไป จำเลยขอคืนหลักประกัน ที่วางไว้ไปในระหว่างฎีกาได้

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองเพิกถอนคำขอคัดค้านการรังวัดที่ดินโฉนดเลขที่ 149 ของโจทก์ ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินแก่โจทก์ 1,090,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยและค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ จำเลยทั้งสองอุทธรณ์และขอทุเลาการบังคับคดีศาลอุทธรณ์ภาค 3 อนุญาตให้ทุเลาการบังคับคดีโดยให้จำเลยทั้งสองหาประกันสำหรับจำนวนหนี้ที่ต้องชำระให้โจทก์ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นพร้อมด้วยดอกเบี้ยจนถึงวันฟังคำสั่งของศาลจำเลยที่ 1 จึงทำสัญญาค้ำประกันไว้โดยวางโฉนดเลขที่ 10288ไว้ต่อศาลชั้นต้น เพื่อเป็นการทุเลาบังคับตามคำสั่งของศาลอุทธรณ์ภาค 3 ต่อมาศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้คำพิพากษาของศาลชั้นต้นเป็นว่า ให้ยกคำขอของโจทก์ในส่วนที่ขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินแก่โจทก์เสียทั้งหมด คดีอยู่ในกำหนดเวลาฎีกา
จำเลยที่ 1 ยื่นคำแถลงขอคืนโฉนดที่ดินที่วางประกันไว้
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า สัญญาค้ำประกันเป็นการค้ำประกันจนกว่าคดีจะถึงที่สุด คดีอยู่ในระหว่างฎีกา จึงไม่คืนโฉนดให้
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาว่า สัญญาค้ำประกันตามหนังสือสัญญาค้ำประกันซึ่งจำเลยที่ 1 กระทำต่อศาลชั้นต้นมีผลเพียงใด โดยจำเลยที่ 1 ฎีกาว่า ขณะค้ำประกัน จำเลยที่ 1เข้าใจว่าเป็นการค้ำประกันเพียงแต่ชั้นอุทธรณ์เท่านั้น และแม้สัญญาค้ำประกันระบุว่า “เมื่อคดีถึงที่สุดแล้ว” ก็ตามเมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายกคำขอโจทก์ในส่วนที่ขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินให้โจทก์แล้ว จำเลยทั้งสองจึงไม่จำต้องชำระเงินใด ๆ ให้โจทก์อีก ศาลชั้นต้นจึงต้องคืนหลักประกันให้จำเลยที่ 1เห็นว่า หนังสือสัญญาค้ำประกันลงวันที่ 10 สิงหาคม 2536ที่จำเลยที่ 1 ในฐานะผู้ค้ำประกันการชำระหนี้ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นเพื่อขอทุเลาการบังคับคดีระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 3 นั้น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 231 ซึ่งกฎหมายกำหนดวิธีการอยู่ในอำนาจศาลเป็นชั้น ๆ ไปไม่ใช่มีผลเป็นหลักประกันในการทุเลาการบังคับคดีในชั้นฎีกาเป็นการล่วงหน้าไปด้วย แม้หนังสือสัญญาค้ำประกันของจำเลยทั้งสองลงวันที่ 10 สิงหาคม 2536 จำเลยทั้งสองใช้ความว่า “ข้าพเจ้านายเชาว์ ธนทวี (จำเลย) ขอทำหนังสือสัญญาค้ำประกันให้ไว้ต่อหน้าศาลว่า เมื่อคดีถึงที่สุด จำเลยไม่สามารถนำเงินมาชำระหนี้ให้แก่โจทก์ได้ ยินยอมให้บังคับเอาจากทรัพย์สิน ซึ่งข้าพเจ้านำมาวางไว้เป็นประกันต่อศาล” การประกันก็มีผลในชั้นศาลอุทธรณ์เท่านั้น เมื่อหนี้ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นในส่วนค่าเสียหายถูกยกไปโดยคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 สัญญาค้ำประกันการชำระหนี้ด้วยเงินของจำเลยทั้งสองดังกล่าวย่อมไม่มีผลผูกพันจำเลยทั้งสองอีกต่อไป เมื่อจำเลยทั้งสองยื่นคำแถลงลงวันที่ 16 มิถุนายน 2537ขอคืนหลักประกันคือโฉนดที่ดินเลขที่ 10288 ตำบลชะมาย อำเภอทุ่งสงจังหวัดนครศรีธรรมราช ที่วางไว้ตามสัญญาค้ำประกันก็ต้องคืนให้ไป”
พิพากษากลับ ให้คืนโฉนดหลักประกันตามสัญญาค้ำประกันแก่จำเลยที่ 1

Share