แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ยื่นบัญชีระบุพยานวันที่ 4 ตุลาคม 2536 แม้จะเป็นเวลาน้อยกว่าสิบห้าวันก้อนวันชี้สองสถาน แต่ก็ปรากฏว่าโจทก์มีสิทธิยื่นบัญชีระบุพยานได้จนถึงวันที่ 3 ตุลาคม 2536 แต่วันดังกล่าวเป็นวันอาทิตย์หยุดราชการ รุ่งขึ้นวันที่ 4 โจทก์ก็ยื่นบัญชีระบุพยานทันที ทั้งปรากฏด้วยว่าโจทก์ได้ยื่นคำแถลงขอส่งสำเนาเอกสารที่โจทก์ได้อ้างเป็นพยานตามบัญชีระบุพยานให้แก่ศาลและจำเลยได้รับไปจากศาลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2536แล้วเช่นนี้ เห็นได้ว่าโจทก์มิได้จงใจฝ่าฝืนและเอาเปรียบจำเลยฉะนั้นแม้โจทก์จะยื่นบัญชีระบุพยานก่อนวันชี้สองสถานน้อยกว่าสิบห้าวันและมิได้ยื่นคำร้องขออนุญาตอ้างพยานหลักฐานต่อศาลแต่เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม สมควรได้รับบัญชีระบุพยานของโจทก์ได้ ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 87(2) จำเลยฎีกาโต้แย้งว่าที่ศาลอุทธรณ์ให้รับบัญชีระบุพยานของโจทก์เป็นการไม่ชอบ เป็นคดีที่มีคำขอปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ต้องเสียค่าขึ้นศาลในชั้นฎีกาเพียง 200 บาท จำเลยเสียค่าขึ้นศาลในชั้นฎีกาอย่างคดีมีทุนทรัพย์ตามราคาทรัพย์สินที่พิพาทจึงเสียเกินมา ชอบที่ศาลฎีกาจะสั่งคืนแก่จำเลย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยจดทะเบียนโอนสิทธิครอบครองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 2387 ตำบลพนางตุงอำเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง จำนวน 2 ไร่ ให้แก่โจทก์ หากจำเลยไม่ยอมจดทะเบียนโอนสิทธิครอบครองให้แก่โจทก์ให้ถือเอาคำพิพากษาแสดงเจตนาของจำเลย หากจำเลยไม่สามารถจดทะเบียนโอนสิทธิครอบครองในที่ดิน ให้จำเลยคืนเงินมัดจำ 100,000 บาท ให้แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้อง
จำเลยให้การต่อสู้คดี ขอให้ยกฟ้อง
ในวันชี้สองสถาน ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทแต่เพียงว่าฝ่ายใดเป็นฝ่ายผิดสัญญาและกำหนดให้โจทก์นำสืบก่อนแต่ศาลชั้นต้นเห็นว่าโจทก์ยื่นบัญชีระบุพยานต่อศาลก่อนวันชี้สองสถานน้อยกว่าสิบห้าวัน จึงมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งเดิมที่สั่งรับบัญชีระบุพยานของโจทก์ตามมาตรา 27 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง แล้วมีคำสั่งไม่รับบัญชีระบุพยานของโจทก์และพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นรับบัญชีระบุพยานของโจทก์และดำเนินการพิจารณาต่อไปแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาวินิจฉัยว่ามีเหตุที่จะรับบัญชีระบุพยานของโจทก์หรือไม่ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ศาลชั้นต้นนัดชี้สองสถานวันที่ 19 ตุลาคม 2536 โจทก์ยื่นบัญชีระบุพยานวันที่ 4 ตุลาคม 2536 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับบัญชีระบุพยานของโจทก์ ครั้นวันที่ 19 ตุลาคม 2536 ซึ่งเป็นวันชี้สองสถานศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทแล้ว เห็นว่าโจทก์ยื่นบัญชีระบุพยานก่อนวันชี้สองสถานน้อยกว่าสิบห้าวัน ที่ศาลสั่งรับบัญชีระบุพยานของโจทก์เป็นการผิดหลง ให้เพิกถอนคำสั่งดังกล่าวแล้วสั่งไม่รับบัญชีระบุพยานของโจทก์ ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วโจทก์ยื่นบัญชีระบุพยานวันที่ 4 ตุลาคม 2536 แม้จะเป็นเวลาน้อยกว่าสิบห้าวันก่อนวันชี้สองสถาน แต่ก็ปรากฏว่าโจทก์มีสิทธิยื่นบัญชีระบุพยานได้จนถึงวันที่ 3 ตุลาคม 2536 แต่วันดังกล่าวเป็นวันอาทิตย์หยุดราชการ รุ่งขึ้นวันที่ 4 โจทก์ก็ยื่นบัญชีระบุพยานทันที ทั้งปรากฏด้วยว่าโจทก์ได้ยื่นคำแถลงขอส่งสำเนาเอกสารที่โจทก์ได้อ้างเป็นพยานตามบัญชีระบุพยานให้แก่ศาลและจำเลยได้รับไปจากศาลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2536 แล้วเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าโจทก์มิได้จงฝ่าฝืนและเอาเปรียบจำเลย ฉะนั้นแม้โจทก์จะยื่นบัญชีระบุพยานก่อนวันชี้สองสถานน้อยกว่าสิบห้าวันและมิได้ยื่นคำร้องขออนุญาตอ้างพยานหลักฐานต่อศาลแต่เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม สมควรให้รับบัญชีระบุพยานของโจทก์ได้ ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 87(2)
อนึ่ง จำเลยฎีกาโต้แย้งว่าที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ให้รับบัญชีระบุพยานของโจทก์เป็นการไม่ชอบ เป็นคดีที่มีคำขอปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ต้องเสียค่าขึ้นศาลในชั้นฎีกาเพียง 200 บาท จำเลยเสียค่าขึ้นศาลในชั้นฎีกาอย่างคดีมีทุนทรัพย์ตามราคาทรัพย์สินที่พิพาทจึงเสียเกินมา ชอบที่ศาลฎีกาจะสั่งคืนแก่จำเลย
พิพากษายืน คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาส่วนที่เกิน 200 บาทแก่จำเลย