คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5787/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 ตกลงขายที่นาพิพาทให้แก่โจทก์ซึ่งเป็นผู้เช่านาก่อนแล้ว เมื่อโจทก์แสดงความประสงค์ไม่ซื้อที่นาพิพาทและยินยอมให้จำเลยที่ 1 ขายที่นาพิพาทให้แก่จำเลยที่ 2 แล้วการที่โจทก์กลับมาร้องขอต่อคณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำตำบลเพื่อวินิจฉัยให้จำเลยที่ 2 ขายที่นาพิพาทให้แก่โจทก์นั้น เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องให้จำเลยที่ 2 ขายที่นาพิพาทให้แก่โจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เดิมโจทก์เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 938ตำบลบางพลีน้อย อำเภอบางบ่อ จังหวัดสมุทรปราการ ร่วมกับนางสัมนาและนางมารยาทบุตรโจทก์ เฉพาะส่วนของโจทก์มีเนื้อที่ 20 ไร่ ต่อมาโจทก์โอนที่ดินดังกล่าวเนื้อที่ 16 ไร่ตีใช้หนี้เจ้าหนี้จำนองแล้วและที่ดินส่วนนี้ได้โอนต่อไปยังจำเลยที่ 1 ส่วนที่เหลืออีก 4 ไร่ โจทก์ขายให้แก่นายเกียรตินิ่มเจริญวรรณ แต่โจทก์เช่าที่ดินทั้ง 20 ไร่ จากจำเลยที่ 1และนายเกียรติทำนาตลอดมา ต่อมาจำเลยที่ 1 โอนขายที่ดินส่วนของจำเลยที่ 1 ให้แก่จำเลยที่ 2 โดยจำเลยที่ 1 ไม่ได้ทำหนังสือแสดงความจำนงจะขายที่นา พร้อมทั้งระบุราคาที่จะขายและวิธีการชำระเงินยื่นต่อประธานคณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำตำบลบางพลีน้อย เพื่อแจ้งให้โจทก์ทราบและมิได้แจ้งเป็นหนังสือให้โจทก์ทราบ และเจ้าหน้าที่ที่ดินหลอกลวงให้โจทก์ทำหนังสือเลิกเช่านา เป็นการไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย โจทก์จึงมีสิทธิซื้อที่ดินดังกล่าวคืนจากจำเลยที่ 2 ตามราคาและวิธีการชำระเงินที่จำเลยที่ 1 ขายให้แก่จำเลยที่ 2 ต่อมาคณะกรรมการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำตำบลบางพลีน้อยวินิจฉัยให้จำเลยที่ 2 ขายที่ดินดังกล่าวให้แก่โจทก์ จำเลยที่ 1 มิได้อุทธรณ์คำวินิจฉัย แต่จำเลยที่ 2 ซึ่งไม่ใช่ผู้มีส่วนได้เสียตามกฎหมายยื่นอุทธรณ์ต่อจำเลยที่ 3 จำเลยที่ 3 กลับวินิจฉัยว่า โจทก์ไม่มีสิทธิซื้อที่ดิน ขอให้พิพากษากลับคำวินิจฉัยจำเลยที่ 3 ตามฟ้องเป็นว่าจำเลยที่ 1 ขายที่นาให้แก่จำเลยที่ 2โดยมิได้ปฏิบัติตามกฎหมาย ให้จำเลยที่ 2 ขายที่นาให้แก่โจทก์ในราคา 303,000 บาท หากจำเลยที่ 2 ไม่ปฏิบัติตามให้ถือคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยที่ 2
จำเลยที่ 1 ให้การว่า จำเลยที่ 1 ขายที่นาแก่จำเลยที่ 2ในราคา 303,000 บาท โดยไม่ได้ทำหนังสือแจ้งโจทก์ซึ่งเป็นผู้เช่าทราบและไม่ได้ทำหนังสือแสดงความจำนงจะขายที่นาพร้อมระบุราคาที่จะขายและวิธีการชำระเงินต่อประธานคณะกรรมการเช่าที่ดินพิพาทเกษตรกรรมประจำตำบลบางพลีน้อยเพื่อแจ้งให้โจทก์ทราบ จำเลยที่ 1ไม่ได้อุทธรณ์คำวินิจฉัยของคณะกรรมการดังกล่าว
จำเลยที่ 2 ให้การว่า โจทก์ไม่ได้ฟ้องคดีภายใน 30 วันนับแต่วันที่ทราบคำวินิจฉัยของจำเลยที่ 3 โจทก์ไม่ได้มอบอำนาจให้นายประเมศ ใจพุก ฟ้องคดี โจทก์ทราบแล้วว่า จำเลยที่ 1จะขายที่นาให้แก่จำเลยที่ 2 และได้ทำหนังสือแสดงเจตนาไม่ประสงค์จะซื้อที่นานั้นแล้ว จึงไม่จำเป็นที่จำเลยที่ 1 จะต้องแจ้งให้โจทก์ทราบอีก โจทก์ใช้สิทธิโดยไม่สุจริต จำเลยที่ 2 เป็นผู้มีส่วนได้เสีย จึงอุทธรณ์คำวินิจฉัยของคณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำตำบลบางพลีน้อยได้ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 3 ให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เพราะตามกฎหมายโจทก์มีสิทธิเพียงอุทธรณ์ต่อศาล โจทก์ไม่ได้ฟ้องคดีภายใน 30 วันนับแต่วันที่ทราบคำวินิจฉัยของจำเลยที่ 3 จำเลยที่ 2 เป็นผู้มีส่วนได้เสียในการเช่านาจึงมีสิทธิอุทธรณ์คำวินิจฉัยของคณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำตำบลบางพลีน้อยได้ คำวินิจฉัยของจำเลยที่ 3 ชอบแล้ว เพราะตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 มาตรา 53 ประสงค์ให้ผู้เช่านาทราบว่า ผู้ให้เช่าจะขายที่นาเพื่อให้ผู้เช่านามีโอกาสซื้อที่นาก่อนผู้อื่นก่อนจำเลยที่ 1 จะขายที่นาให้แก่จำเลยที่ 2 โจทก์ได้แสดงเจตนาชัดแจ้งเป็นหนังสือว่าโจทก์ไม่ประสงค์จะซื้อที่ดิน และไม่คัดค้านการที่จำเลยที่ 1 จะขายที่นาให้แก่จำเลยที่ 2 จำเลยที่ 1 จึงไม่จำต้องปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวอีก การที่โจทก์กลับมากล่าวอ้างว่าจำเลยที่ 1ไม่ปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมายจึงเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นฟังได้ว่าที่ดินตามโฉนดเอกสารหมาย จ.2 มีเนื้อที่ 31 ไร่ 1 งาน 40 ตารางวาเดิมเป็นของนายแม้นบิดาโจทก์ ต่อมานายแม้นจดทะเบียนโอนให้แก่โจทก์ถือกรรมสิทธิ์รวมแล้วโจทก์จดทะเบียนจำนองส่วนของตนเป็นประกันหนี้เงินยืมจากนางจำลอง ต่อมาโจทก์จดทะเบียนให้นางจำลองถือกรรมสิทธิ์รวม 16 ส่วน ใน 20 ส่วน เป็นการตีใช้หนี้ไถ่ถอนจำนอง ต่อมานางจำลองขายกรรมสิทธิ์รวมส่วนของตนให้แก่จำเลยที่ 1 แต่โจทก์ยังเช่าที่ดินส่วนของจำเลยที่ 1ทำนาตลอดมา วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2530 โจทก์ไปยื่นคำขอต่อเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดสมุทรปราการให้มีคำสั่งห้ามโอนที่นาพิพาท ต่อมาวันที่ 4 พฤษภาคม 2530 จำเลยที่ 1 จดทะเบียนขายที่นาพิพาทให้จำเลยที่ 2 ในราคา 303,000 บาท โดยมีบันทึกข้อความระบุว่า โจทก์ไม่มีความประสงค์จะซื้อที่ดินยินยอมให้เจ้าของขายได้ ตอนท้ายมีลายพิมพ์นิ้วมือของโจทก์ตามเอกสารหมายจ.10 และมีบันทึกข้อความระบุว่าโจทก์ไม่มีความประสงค์จะซื้อที่ดินแปลงดังกล่าวและยินยอมเลิกทำนา ตอนท้ายมีลายมือชื่อโจทก์ตามเอกสารหมาย จ.11 รวมอยู่ในเรื่องราวการจดทะเบียนรายนี้ที่สำนักงานที่ดิน จังหวัดสมุทรปราการ สาขาบางพลีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่าโจทก์ทำหนังสือแจ้งความประสงค์ไม่ซื้อที่นาพิพาทตามเอกสารหมาย จ.10 และ จ.11จริงหรือไม่ โจทก์ฎีกาว่า โจทก์ไปสำนักงานที่ดินเพื่อไปขอถอนคำขอห้ามโอนที่ดินและเจ้าหน้าที่ที่ดินบอกให้ลงลายมือชื่อในเอกสารฉบับหนึ่งกับให้พิมพ์ลายนิ้วมือในเอกสารอีกฉบับหนึ่งไม่มีจำเลยที่ 2 เข้าไปเกี่ยวข้องด้วยนั้น เห็นว่าโจทก์อ้างตนเองเป็นพยานเบิกความในเรื่องนี้เพียงปากเดียว แต่ปรากฏในเอกสารหมาย จ.10 และ จ.11 มีนายประมวลบุตรโจทก์ลงชื่อเป็นพยานด้วยแต่โจทก์หาได้นำนายประมวลมาเบิกความปฏิเสธไม่ ส่วนจำเลยมีตัวจำเลยที่ 2 นายวิดลบุตรเขตของโจทก์ซึ่งลงชื่อเป็นพยานในเอกสารหมาย จ.11 กับนายสมพงษ์ เอื้อเสถียร เจ้าหน้าที่ที่ดินสำนักงานที่ดินจังหวัดสมุทรปราการ สาขาบางพลี ผู้สอบปากคำโจทก์และทำบันทึกเอกสารหมาย จ.11 และนางสาวพวงรัตน์ธรรมจำรัส ผู้เขียนบันทึกเอกสารหมาย จ.11 มาเป็นพยานเบิกความสนับสนุนคำเบิกความของจำเลยที่ 2 มีน้ำหนักมั่นคง ฟังได้ว่าโจทก์ทราบข้อความในเอกสารทั้งสองฉบับแล้วว่าตรงตามความประสงค์ของโจทก์จึงลงลายมือชื่อและพิมพ์ลายนิ้วมือให้ไว้ในเอกสารดังกล่าว ส่วนเรื่องราคาที่นาพิพาทปรากฏว่า โจทก์ทราบก่อนวันจดทะเบียนแล้ว ดังปรากฏในเอกสารของนายประเมศซึ่งยื่นต่อประธานคณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมตำบลบางพลีน้อยตามเอกสารหมาย จ.12 และเอกสารที่ยื่นต่อประธานจำเลยที่ 3 ตามเอกสารหมาย จ.14 ว่า ประมาณกลางเดือนมีนาคม 2530 จำเลยที่ 1ตกลงชายที่นาพิพาทให้แก่โจทก์ในราคา 300,000 บาท ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 ตกลงขายที่นาพิพาทให้แก่โจทก์ซึ่งเป็นผู้เช่านาก่อนแล้ว เมื่อโจทก์แสดงความประสงค์ไม่ซื้อที่นาพิพาทและยินยอมให้จำเลยที่ 1 ขายที่นาพิพาทให้แก่จำเลยที่ 2 แล้วการที่โจทก์กลับมาร้องขอต่อคณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำตำบลบางพลีน้อย เพื่อวินิจฉัยให้จำเลยที่ 2 ขายที่นาพิพาทให้แก่โจทก์นั้น เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องให้จำเลยที่ 2 ขายที่นาพิพาทให้แก่โจทก์ ฎีกาของโจทก์ข้ออื่นจึงไม่ต้องวินิจฉัย ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องโจทก์ชอบแล้ว
พิพากษายืน

Share