คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4779/2538

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

คดีแพ่งคู่ความตกลงกันให้ศาลวินิจฉัยชี้ขาดข้อพิพาทแห่งคดีไปตามคำเบิกความของพยานในคดีอาญาโดยไม่มีการสืบพยาน เมื่อปรากฏว่าคดีดังกล่าวเป็นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา ในการพิพากษาคดีส่วนแพ่งตามที่ตกลงกันดังกล่าวศาลก็ต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46 ด้วย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อเดือนธันวาคม 2526 โจทก์ซื้อรถยนต์เก๋งจากนายบุญเลิศ เลิศพิพัฒน์กุล ราคา 640,000 บาทโจทก์ชำระเงินจำนวน 240,000 บาท กับสั่งจ่ายเช็คธนาคารทหารไทย จำกัด สาขาลำปาง ลงวันที่ 6 มีนาคม 2537จำนวน 400,000 บาท ให้แก่นายบุญเลิศ และโจทก์รับมอบรถยนต์คันดังกล่าวมาครอบครองแล้ว หลังจากนั้นนายบุญเลิศแจ้งให้จำเลยซึ่งเป็นตัวแทนจำหน่ายรถยนต์คันดังกล่าวของบริษัทออโตเซลล์แอนเครดิต จำกัด ให้จดทะเบียนรถยนต์คันดังกล่าวเป็นชื่อโจทก์เป็นเจ้าของ จำเลยตกลงจะดำเนินการให้ ต่อมาวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2527 โจทก์มอบหมายให้จำเลยเป็นตัวแทนจัดเอารถยนต์คันดังกล่าวเข้าบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ทิสโก้ จำกัด เป็นเงิน 400,000 บาท แล้วให้โจทก์ทำสัญญาเช่าซื้อกับบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ทิสโก้ จำกัดและโจทก์มอบหมายให้จำเลยเป็นตัวแทนรับเงินจำนวน400,000 บาท จากบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ทิศโก้ จำกัดแทนโจทก์ จำเลยตกลงเป็นตัวแทนเชิดรับเงินจำนวนดังกล่าวแทนโจทก์เพื่อนำไปมอบให้โจทก์ และโจทก์จะนำเงินจำนวนนี้ไปชำระตามเช็คที่โจทก์มอบให้นายบุญเลิศ ต่อมาวันที่21 กุมภาพันธ์ 2527 จำเลยรับเช็คธนาคารกสิกรไทย สาขาสำนักสีลม จำนวน 400,000 บาท ลงวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2527ซึ่งบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ทิสโก้ จำกัด สั่งจ่ายชำระตามสัญญาเช่าซื้อรถยนต์คันดังกล่าวมอบให้แก่จำเลยรับไว้ในฐานะตัวแทนเชิดของโจทก์ ต่อมาจำเลยนำเช็คฉบับนี้เข้าบัญชีเพื่อเรียกเก็บเงินตามเช็ค และธนาคารเรียกเก็บเงินเข้าบัญชีของจำเลยเรียบร้อยแล้ว จำเลยในฐานะตัวแทนโจทก์ต้องคืนเงินจำนวนนี้ให้โจทก์ แต่จำเลยไม่คืน โจทก์ทวงถามจำเลยให้ชำระเงินแต่จำเลยปฏิเสธ ทำให้โจทก์เสียหายโจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันผิดนัดขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 624,499.92 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีของต้นเงิน 400,000 บาทนับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่เคยตกลงซื้อรถยนต์เก๋งจากนายบุญเลิศ เลิศพิพัฒน์กุล และไม่เคยชำระเงินหรือเช็คให้นายบุญเลิศ นายบุญเลิศไม่ได้มอบรถยนต์ให้โจทก์รถยนต์คันดังกล่าวนายบุญเลิศได้ขายให้นางวาสนา แสงศรีหรือธิวงศ์เงิน ต่อมานางวาสนาขายให้โจทก์ราคา 640,000 บาทโดยโจทก์นำรถยนต์ของโจทก์ตีราคาเป็นเงินดาวน์ 240,000 บาทพร้อมกันออกเช็คธนาคารกสิกรไทย จำกัด สาขาลำปางลงวันที่ 6 มีนาคม 2527 จำนวนเงิน 400,000 บาท มอบให้แก่นางวาสนา นางวาสนาจึงส่งมอบรถยนต์คันดังกล่าวให้โจทก์ จำเลยมิใช่ตัวแทนของโจทก์และโจทก์ไม่เคยมอบหมายให้จำเลยเป็นตัวแทนกระทำการจัดนำรถยนต์เข้าบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ทิสโก้ จำกัด และไม่เคยให้จำเลยรับเงินแทนโจทก์ จำเลยกับโจทก์ไม่เคยรู้จักกัน และโจทก์ไม่ใช่เจ้าของรถยนต์คันดังกล่าวแต่อย่างใด นางวาสนาขอให้จำเลยช่วยติดต่อบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ให้จำเลยติดต่อบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ทิสโก้ จำกัด นางวาสนาจึงได้ขายรถยนต์คันดังกล่าวให้แก่บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ทิสโก้จำกัด แล้วให้โจทก์ทำสัญญาเช่าซื้อจากบริษัท ต่อมาวันที่19 กุมภาพันธ์ 2527 บริษัทได้จ่ายเงิน 400,000 บาท ให้แก่นางวาสนาโดยผ่านจำเลย จำเลยได้นำเงินดังกล่าวให้แก่นางวาสนาแล้ว จำเลยจึงไม่มีหน้าที่ต้องคืนเงิน 400,000 บาทให้แก่โจทก์อีก ขอให้ยกฟ้อง
โจทก์ จำเลยไม่สืบพยาน โดยขอถือเอาคำเบิกความของพยานแต่ละฝ่ายในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 200/2530ของศาลจังหวัดลำปางเป็นพยานให้ศาลวินิจฉัยตามประเด็นและภาษีการพิสูจน์ที่ศาลกำหนด
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 2พิพากษายืน โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “เห็นว่า แม้คู่ความจะตกลงกันให้ศาลวินิจฉัยชี้ขาดข้อพิพาทแห่งคดีไปตามคำเบิกความของพยานในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 200/2530 ของศาลจังหวัดลำปางโดยไม่มีการสืบพยานก็ตามแต่เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าในมูลกรณีเดียวกันกับที่โจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ โจทก์ได้ฟ้องจำเลยกับนายบุญเลิศ เลิศพิพัฒน์กุล และนางวาสนา แสงศรีหรือธิวงศ์เงิน เป็นจำเลยในคดีอาญา โดยกล่าวหาว่าร่วมกันฉ้อโกงเกี่ยวกับการซื้อขายรถยนต์พิพาท และร่วมกันยักยอกเงินค่าขายรถยนต์พิพาท จำนวน 400,000 บาทที่บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ทิสโก้ จำกัด จ่ายให้โจทก์ดังปรากฏตามสำนวนคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 200/2530ของศาลจังหวัดลำปางนั่นเอง ในคดีดังกล่าวศาลพิพากษายกฟ้องและคดีถึงที่สุดแล้วโดยฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์ตกลงซื้อรถยนต์พิพาทจากนางวาสนา แล้วนางวาสนาเป็นผู้ติดต่อมอบหมายให้จำเลยช่วยติดต่อโอนขายรถยนต์พิพาทให้บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ทิสโก้ จำกัด ในราคา 400,000 บาท แล้วให้โจทก์ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์คันพิพาทจากบริษัทดังกล่าว ซึ่งจำเลยก็รีบดำเนินการให้จนแล้วเสร็จ เมื่อจำเลยได้รับเงินจำนวน400,000 บาท จากบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ทิสโก้ จำกัดแล้วก็มอบเงินนั้นให้แก่นางวาสนา จำเลยกระทำการโดยสุจริตมิได้กระทำผิดหน้าที่ได้รับมอบหมาย ส่วนโจทก์มิได้มอบหมายให้จำเลยขายรถยนต์พิพาทให้บริษัทดังกล่าวและรับเงินแทนจำเลยจึงไม่มีความผิดฐานยักยอกเงินค่าขายรถยนต์พิพาทดังนั้นการที่โจทก์กลับมาฟ้องคดีแพ่งเรียกเงินจำนวน400,000 บาท จากจำเลยเป็นคดีนี้อีก คดีนี้จึงเป็นคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาในการพิพากษาคดีส่วนแพ่ง ศาลจึงต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาตามความในมาตรา 46 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาคดีนี้จึงต้องฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยมิได้เป็นตัวแทนของโจทก์จำเลยจึงไม่มีหน้าที่ต้องนำเงินค่าขายรถยนต์คันพิพาทจำนวน400,000 บาท ไปมอบให้แก่โจทก์ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาต้องกันมาให้ยกฟ้องของโจทก์ ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย”
พิพากษายืน

Share